Thailand! 2024 scam, Call centre scam, child abuse, หลอกรับบริจาค, แก๊งคอลฯ, คอลเซ็นเตอร์, ตุ๋นผู้สูงอายุ, อาชญากรรม, ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, พนันออนไลน์, อาชญากรรมข้ามชาติ, ลักพาตัวเรียกค่าไถ่, อาชญากรรม, หลอกลงทุน, call center gang, แก๊งทุนจีน, คอลเซ็นเตอร์, อาชญากรรมข้ามชาติ, ตำรวจสอบสวนกลาง, แก๊งคอลเซนเตอร์, อาชญากรข้ามชาติ, ตำรวจไซเบอร์, ลงทุนทิพย์, คริปโตเคอเรนซี, บัญชีม้า, ฟอกเงิน, พนันออนไลน์, เครือข่ายยาเสพติด, ภัยออนไลน์, มิจฉาชีพออนไลน์, อาชญากรรมข้ามชาติ, แก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ, CIB, คดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่, ลักพาตัวเรียกค่าไถ่, ลักพาตัว, คดี Virtual Kidnapping, แก๊งคอลฯเรียกค่าไถ่, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, สน.บางรัก, อาชญากรรมกทม., ขบวนการหลอกลงทุน, คริปโต, ตำรวจไซเบอร์, บช.สอท., ฟอกเงิน, ยึดทรัพย์, ล่าทรชน, หลอกลงทุน, ฉ้อโกง, ถูกหลอกลงทุน, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, มิจฉาชีพ, แก๊งสแกรมเมอร์, บ่อนกาสิโน, บ่อนปอยเปต, MBI国际集团, 张誉发, เตียว ฮุยฮวด, Teow Wooi Huat

2024.12.28 Chinese call centre scam: Bangkok police arrest 4 more men

A coordinated crackdown on a suspected call centre scam network culminated in the arrest of four Chinese men in Bangkok. Police carried out raids across eight locations in the city yesterday, December 27, targeting areas in Bang Na, Makkasan, Lumpini, Huai Khwang, Hua Mak, and Din Daeng.

Metropolitan Police Bureau chief investigator, Theeradej Thamsuthee, spearheaded the operation. During the raids, officers apprehended four Chinese nationals between the ages of 29 and 32. The men were detained at a condominium in Bang Na Tai, where officers also seized three laptop computers and a flash drive.

Siam Boonsom, the commissioner of the MPB, reported that the group faced multiple charges. Three of the men were accused of being in the country illegally and gathering unlawfully. The fourth suspect was charged with failing to report his residence or hotel location to immigration police within the required 24-hour period after arrival.

This crackdown is not the first in recent days. Earlier this week, a 19 year old Chinese man, Tan Minghong, was arrested under similar circumstances. During his arrest in Hua Mak, police confiscated eight new-model SIM boxes and other items from his rented condominium.

Investigators linked the information from Tan Minghong’s apprehension to the arrest of the four men yesterday. Despite being questioned, the first three suspects denied all charges, maintaining their presence in Thailand was solely for tourism. However, they failed to provide any photographic evidence of their travels within the country.

“During questioning, the first to third suspects denied all charges. They claimed they had entered Thailand as tourists.”

Police revealed that the suspects allegedly earned money through a gambling website, with no legitimate employment records in China. Additionally, the men could not produce their passports, claiming they were retained by a tour agency. The fourth suspect, however, admitted to the charges against him, reported Bangkok Post.

“The investigators had targeted the eight locations as all were linked to alleged Chinese scammers operating in Thailand.”

2024.12.25 Chinese teen arrested for alleged call centre scam
Police detain Minghong Tan, 19, a Chinese national, for alleged involvement in a call centre scam during raids on two condominium rooms in Bangkok on Wednesday. Many SIM boxes and other related devices were seized. (Photo)

A 19-year-old Chinese youth accused of involvement in a call centre scam was arrested during police raids in Bangkok on Wednesday.

Metropolitan and immigration police with a warrant issued by the Criminal Court search a room in the Phana Place building in Ramkhamhaeng Soi 24/3 in Hua Mak area of Bang Kapi district.

They found and seized eight new-model SIM boxes, two internet routers, a switch hub, a closed-circuit television camera, a power backup, eight LAN cables and other items.

They then searched another room at AT Ratcha condominium in Din Daeng district and arrested a Chinese teenager, identified later as Minghong Tan, 19, for alleged involvement in a call centre scam.

According to police, Mr Minghong was a member of a scam gang and had rented both rooms. One was used for the SIM boxes and other gear, and the other as an operations office. The arresting team also found lease contracts for 10 other rooms.

Mr Minghong had entered Thailand on a student visa, police said.

Pol Maj Gen Theeradej Thamsuthee, chief of investigation at the Metropolitan Police Bureau, said Mr Minghong denied any involvement in the scam gang. He claimed to be a mere broker, helping other Chinese nationals find and rent rooms.

After questioning, police pressed initial charges of illegally possessing or bringing communication devices into Thailand, setting up a communication radio station without permission, and illegal use of radio frequencies.

The suspect was taken to Hua Mak police station for further investigation and legal action.

The arrest came after a scam victim in Ayutthaya filed a complaint with police via the AOC 1441 hotline centre. The complainant said a person claiming to be a police officer from Buri Ram province had tricked them into transferring 10,600 baht to a given account number.

Investigators learned that the gang had its operations base in the Hua Mak area. Wednesday’s raids followed.

The police investigation is ongoing.

2024.12.22 รวบสาวบัญชีม้า อ้างเป็นการไฟฟ้าตุ๋นผู้สูงอายุ เหยื่อสูญเงินกว่า 2 แสนบาท

ตำรวจรวบสาวบัญชีม้า อ้างเป็นการไฟฟ้า ตุ๋นเงินผู้สูงอายุ เหยื่อสูญเงินกว่า 2 แสนบาท รับได้ค่าจ้างเปิดบัญชี 1,000 บาท

เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 22 ธ.ค. 2567 พ.ต.อ.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว ผกก.สน.เพชรเกษม สั่งการ พ.ต.ต.ธวัชชัย ทิพย์วงษ์ สว.สส.สน.เพชรเกษม จ.ส.ต.เอกยุทธ ปล้องคง ผบ.หมู่ (ป.) สน.เพชรเกษม และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน จับกุม น.ส.พิชชาพร ถมพลกรัง อายุ 22 ปี ชาว จ.นครราชสีมา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ที่ 1112/2567 ลงวันที่ 18 ธ.ค. 67

ข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป, ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และเป็นการกระทำเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการ หรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสดหรือใช้เบิกถอนเงินสด, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อประชาชน, เข้าถึงโดยมิชอบ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน” โดยจับกุมตัวได้ที่ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

สืบเนื่องจากช่วงกลางปี 2567 ขณะที่ น.ส.สุทิดา จงเจริญ อายุ 64 ปี ผู้เสียหาย ได้มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวง ตรวจสอบพบว่าบ้านของ น.ส.สุทิดา มีค่าไฟฟ้าสูงกว่าปกติ ทางการไฟฟ้าจะทำการลดหย่อนค่าไฟฟ้าคืนให้ พร้อมแนะนำ น.ส.สุทิดาฯ ว่าจะมีข้อความส่งมาทางโทรศัพท์มือถือ

เมื่อ น.ส.สุทิดา กดดูโทรศัพท์มือถือของตนพบข้อความลิงก์ “m wa.tw-th.cc” น.ส.สุทิดา กดเข้าไปในลิงก์ ปรากฏเป็นแอปพลิเคชันไลน์การไฟฟ้า และมีการสนทนากับบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า ได้แนะนำให้ติดตั้งแอปพลิเคชันชื่อ “Mea Pro” รูปโปรไฟล์การไฟฟ้านครหลวง บนโทรศัพท์มือถือเพื่อให้ดูเปอร์เซ็นต์ค่าไฟฟ้าจะลดลงหน้าจอโทรศัพท์

จากนั้น น.ส.สุทิดา ทำตามคำแนะนำจนโทรศัพท์มือถือของตนหน้าจอค้างไม่สามารถทำรายการได้ประมาณ 30 นาที จึงเริ่มสงสัยว่าน่าจะถูกหลอก จึงตรวจสอบแอปธนาคารที่ติดตั้งไว้บนโทรศัพท์มือถือ ปรากฏว่า

1.เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2567 เวลา 15.18 น. มีการทำรายการเงินออกจากบัญชี จำนวน 170,466 บาท

2.วันที่ 29 มิถุนายน 2567 เวลา 15.31 น. มีการทำรายการบัตรกดเงินสด เงินออกจากบัญชี จำนวน 27,000 บาท

3.วันที่ 29 มิถุนายน 2567 เวลา 15.35 น. มีการทำรายการบัตรกดเงินสด เงินออกจากบัญชี จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ประมาณ 227,466 บาท

จากการสอบสวน น.ส.พิชชาพร รับสารภาพว่าได้ขายบัญชีม้าให้กับผู้ติดต่อมาทางเฟซบุ๊ก โดยจะได้ค่าจ้าง 1,000 บาท ที่ทำไปเพราะตอนนั้นลูกเล็ก ไม่มีเงินซื้อนมลูก เบื้องต้นจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.เพชรเกษม ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

2024.12.21 ทลายรังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จับ 6 ชาวจีน ตั้งฐานกลางกรุง อึ้งเจอซิม 2 แสนชิ้น

ทลายรังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จับ 6 ชาวจีน ตั้งฐานกลางกรุง อึ้งเจอซิม 2 แสนชิ้น

ทลายรังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จับ 6 ชาวจีน ตั้งฐานคอนโดหรูกลางกรุง อึ้งเจอซิม 2 แสนชิ้น ซิมบ็อกซ์ 286 เครื่อง เข้าไทยใช้วีซ่านักเรียน-ท่องเที่ยว

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 20 ธ.ค. 2567 พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รอง ผบ.ตร. และผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม. นำลังชุดสืบสวน สตม. เข้าจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน 6 ราย ที่ห้องพักภายในคอนโดมิเนียมหรู ซอยรัชดาภิเษก 6 ถนนรัชดาภิเษก แขวงและเขตห้วยขวาง กทม.

ประกอบด้วย 1.MR.FENGRAN WEN, 2.MR.ZHANG JUN, 3.MR.LI YUNING, 4.MR.PANG ZE, 5.MR.YANG QUN และ 6.MR.YAO FAN (หัวหน้าแก๊ง) พร้อมของกลางหลายรายการ เช่น Sim Box 286 เครื่อง, ซิมการ์ดโทรศัพท์ ประมาณ 208,652 ชิ้น, โทรศัพท์มือถือ 636 เครื่อง, เครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง, จอคอมพิวเตอร์ 62 เครื่อง, เคสคอมพิวเตอร์ 84 เครื่อง และแล็บท็อป 4 เครื่อง โดยตรวจยึดได้จากทั้ง 6 ห้องพัก ชั้น 16, 17 และ 23 รวม 6 ห้อง ซึ่งใช้เป็นที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์ซิมบ็อกซ์

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า ตำรวจตม.ต้องการมาตรวจสอบเรื่องบุคคลต่างด้าวที่ทำผิดกฎหมายจากคอนโดแห่งนี้ จึงนำกำลังเข้ามาตรวจสอบ กระทั่งพบความผิดปกติ จึงขอศาลออกหมายค้น จนพบผู้ต้องหาและของกลางดังกล่าว

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวต่อว่า ซิมมือถือที่พบส่วนใหญ่เป็นซิมไทยทั้งหมด ตนได้ประสานให้ตำรวจไซเบอร์เข้ามาทำการสืบสวนเพิ่มเติม ถือเป็นเรื่องสำคัญที่พบซิมจำนวนขนาดนี้ที่กลางเมืองกรุง โดย 32 ซิมต่อบ็อกซ์ โทรได้ประมาณ 1 หมื่นครั้งต่อนาที หรือ 6 แสนครั้ง ต่อ 1 ชั่วโมง ซึ่งก่อนหน้านี้ที่กองปราบตรวจยึดได้ก็ใกล้เคียงกัน

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวอีกว่า จะมีการนำไปตรวจสอบกับฐานข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง โดยการจับกุมครั้งนี้ได้จับกุมตัวหัวหน้าขบวนการด้วย แต่ยังขาดผู้ต้องหาอีก 3 คนที่อยู่ระหว่างออกหมายจับนำเข้าสู่ระบบ Watch list และกระจายหมายจับไปตามแนวชายแดน ทำให้ผู้ต้องหาที่เหลือไม่สามารถหลบหนีออกนอกประเทศได้

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มผู้ต้องหามีการใช้โปรแกรมในการลงทะเบียนสมัครบัญชีเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และไลน์ โดยใช้เอไอในการทำได้รวดเร็วมาก และสามารถใช้หลอกคนได้เลย

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบเชื่อว่า กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 6 คนมีหน้าที่ในการดูแล ระบบซิมบ็อกซ์ทั้งหมด เช่น ไฟตก, ไฟดับ หรือเครื่องพังและเสีย จะมีการสั่งเครื่องใหม่มาเปลี่ยน ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่หลอกลวงผู้อื่นจะอยู่ในต่างประเทศ โดยใช้วิธีการยิงไวไฟเข้ามายังซิมบ็อกซ์

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวต่อว่า โดยผู้ต้องหาทั้ง 6 คนได้เดินทางเข้ามาในเมืองไทยด้วยวีซ่านักเรียน-ท่องเที่ยวได้ไม่เกิน 4 เดือน และมาเช่าที่แห่งนี้ประมาณ 2 เดือน นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มผู้ต้องหาได้มีการเดินทางเข้าประเทศลาวและประเทศกัมพูชามาก่อนหน้านี้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริง เนื่องจากแก๊งCall Center ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน

ขณะที่ 1 ใน ผู้ต้องหาได้ให้การว่า ตนมีหน้าที่เปลี่ยนซิมการ์ดจากซิมบ็อกซ์ และสมัครบัญชีโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งของไทยและจีน เมื่อสมัครเสร็จ ระบบจะนำไปยิงโฆษณาให้คนมากด เพื่อทำเงินให้ได้ 20 หยวนต่อบัญชี เมื่อครบก็จะเปลี่ยนซิมการ์ดสมัครใหม่ไปเรื่อยๆ ทำมาประมาณ 1 เดือนแล้ว โดยมีนายฉุนเกอ ชาวจีนหนึ่งในผู้ต้องหา จะเป็นคนจัดการหาซิมการ์ดมาให้ และจ่ายเงินให้เดือนละ 8,000 หยวน แต่ตนไม่ทราบว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ดังนี้ 1.ร่วมกัน ทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต

2.ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตตามมาตรา 15 ราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2489

3.ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน

4.ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 242

5.คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้

6.เป็นนายจ้างรับบุคคลต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงานโดยผิดกฎหมาย (ข้อหานี้ดำเนินคดีเพียง 1 คน)

หลังจากนี้จะประสานให้ตำรวจไซเบอร์เข้ามาทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลเพิ่มเติม ก่อนควบคุมตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน บก.สตม. เพื่อแจ้งข้อหา ก่อนผลักดันผู้ต้องหากลับออกนอกประเทศต่อไป

Bangkok bust: 6 Chinese arrested with 200k SIM cards

Police in Bangkok have dismantled a major call centre gang, arresting six Chinese nationals who had set up their operations in a luxury condominium in the heart of the city.

The suspects were found with an astonishing 208,652 SIM cards and 286 SIM boxes, alongside other electronic equipment. Entering Thailand on student and tourist visas, the group had been operating from their rented condominium for about two months.

Officers, led by Deputy Police Chief Tatchai Pitanilabut and various senior officials, conducted the raid at the condominium on Ratchadaphisek Road after noticing suspicious activities. The operation revealed a sophisticated setup across six rooms on the 16th, 17th, and 23rd floors, functioning as servers for their illegal activities.

The individuals arrested were identified as Fengran Wen, Zhang Jun, Li Yuning, Pang Ze, Yang Qun, and Yao Fan, who was noted as the gang leader. The massive haul included 636 mobile phones, a computer, 62 computer monitors, 84 computer cases, and four laptops.
Tatchai detailed that the immigration police’s initial intention was to verify the legal status of foreigners in the area, which led to the discovery of this crime ring. The discovery of such a large number of SIM cards in the middle of Bangkok has been flagged as significant. Each SIM box can handle 32 SIM cards, capable of making approximately 10,000 calls per minute or 600,000 calls per hour.

The arrested individuals are suspected of using the SIM boxes to register accounts on social media platforms such as Facebook, Twitter, and Line, utilising AI technology to expedite the process. This technology allowed them to deceive people efficiently. It is believed that the gang was responsible for managing the SIM box systems, addressing issues like power outages or device failures by quickly replacing equipment. Meanwhile, the scam operations targeting individuals were presumably conducted from abroad using Wi-Fi connections to the SIM boxes.

The six suspects reportedly entered Thailand with student and tourist visas valid for up to four months and had previously travelled to Laos and Cambodia. This aligns with reports of similar call centre gangs operating from neighbouring countries. One of the suspects admitted to swapping SIM cards and registering social media accounts, earning 20 Chinese yuan (around 93 Thai baht) per account by directing advertisements to attract clicks. They claimed to have been operating for about a month, managed by Chun Ge, another suspect, who supplied the SIM cards and paid 8,000 yuan monthly. The suspect professed ignorance of the illegal nature of these activities.

The charges filed against the suspects include illegal possession and use of communication devices without a license, running an unlicensed radio communication station, introducing false computer data into the system, concealing or disposing of goods known to be associated with illegal activities, and working without the appropriate permits. Only one individual faces charges related to employing foreigners illegally.

Following the arrests, Thai police plan to work with cybercrime units to further investigate and expand upon the findings. The suspects, along with the seized items, will be handed over to the Immigration Bureau for prosecution, with the eventual aim of deporting them from the country, reported KhaoSod.

2024.12.20 Thai girl forced to send explicit photos of herself and mother for game items
Bangkok police allegedly refused to take a complaint from a 10 year old girl after she was tricked into sending explicit pictures of herself and her mother in exchange for game items.
The Thai mother took to her Facebook account to share the story of how her 10 year old daughter fell victim to a scammer, as a warning to other families. The mother included screenshots of parts of the conversation between her daughter and the scammer in the post.
In the conversation, the scammer coerced the girl into taking explicit pictures of herself and her mother and sharing them in the chat to get a “diamond” in the game. This diamond was a currency within the game that players could use to buy special items.
The girl initially complied with the scammer, who called herself “mama” and called the girl “daughter”. The scammer’s true gender was not confirmed. The girl sent some of the pictures that the scammer requested such as pictures of her underwear, her mother’s underwear, and her mother’s bras.
The scammer asked the young victim to sneak pictures while her mother was showering. The girl did not dare to take a picture of her mother naked and refused to do so, prompting the scammer to put more pressure on her.
The scammer threatened to blackmail her by revealing what the girl was doing to her mother and other relatives. The girl also sent voice recordings of herself crying and begging the scammer to stop ordering her to do things. She stated that she no longer wanted the game’s items.
Unable to withstand the pressure, she told her mother everything. The mother then filed a complaint against the scammer at Prawet Police Station.
Unfortunately, the police did not take their complaint, saying they did not know the identity of the scammer and therefore did not know how to investigate the matter.
As is often the case, the police eventually carried out their duties after the story went viral on social media. The Cyber Crime Investigation Bureau (CCIB) and the Investigation Division of the Metropolitan Police Bureau (IDMB) are reportedly responsible for the case.
The mother added that some of her daughter’s friends came forward to share similar experiences. She urged parents to talk to their children with understanding, to bring these scammers to justice.

2024.12.18 สตม.ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์‘ยากูซ่า’ ตุ๋นเหยื่อวันละ 5 ล.-ใช้‘คนไทย’ฟอกเงินผ่านคาเฟ่-ซาวน่า

ทลาย “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” อดีตสมาชิกยากูซ่า แอบตั้งฐานในไทย

อดีตยากูซ่า เปิดพูลวิลล่าหรู เมืองชลบุรี ตั้งสำนักงานแก๊งคอลฯ หลอกคนญี่ปุ่น

สตม.ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ญี่ปุ่น เปิดบ้านพูลวิลล่าหรู เมืองชลบุรี เป็นสำนักงานหลอกชาวญี่ปุ่น

ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จตช.รรท.รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.จตช./ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรม ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม.รรท.ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รอง ผบช.สอท.รรท.รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ช่วยราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) หัวหน้ากลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชูวงษ์ อุทัยสาง ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

สืบเนื่องจาก บก.สส.สตม. ได้รับการประสานงานจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย กรณี มีกลุ่มคนร้ายลักลอบจัดตั้งสำนักงานคอลเซ็นเตอร์เพื่อหลอกลวงชาวญี่ปุ่น เป้าหมายเป็นผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น โดยหลอกลวงว่าจะได้รับเงินประกันสุขภาพคืน ซึ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ญี่ปุ่นนี้ จะทำงานตั้งแต่วันจันทร์ – วันเสาร์ โดยมีรูปแบบการหลอกลวงว่า “เป็นการขอคืนเงินค่ารักษาพยาบาล โดยใช้โทรศัพท์หลอกลวงผู้สูงอายุในญี่ปุ่น โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ” ซึ่งคอลเซ็นเตอร์สายแรกจะปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐ โทรศัพท์ไปอธิบายกับเหยื่อที่ประเทศญี่ปุ่นว่าจะมีการคืนค่ารักษาพยาบาลสะสมจำนวนหลายล้านเยน และจะให้เหยื่อทำการเตรียมเงินไว้ในบัญชี ตั้งแต่จำนวน 500,000 เยน ขึ้นไป จากนั้นจะหลอกให้เหยื่อไปทำรายการโอนเงินที่หน้าตู้เอทีเอ็มไปยังบัญชีของคนร้าย เมื่อเหยื่อโอนเงินให้แล้ว หัวหน้าแก๊งก็จะสั่งการให้ลูกน้องไปถอนเงินออกจากบัญชี โดยพบความเสียหายแล้วกว่าวันละหลายสิบล้านเยน

จากการสืบสวนพบว่ากลุ่มคนร้ายได้ลักลอบจัดตั้งสำนักงานคอลเซ็นเตอร์อยู่ในพื้นที่ จังหวัดชลบุรี จำนวน 2 แห่ง จึงได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลจังหวัดพัทยาเข้าตรวจค้น มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

จุดที่ 1 บ้านพูลวิลล่าหรู จากการตรวจค้นพบคนต่างด้าว สัญชาติญี่ปุ่น จำนวน 2 ราย ได้แก่ นายทากายูกิ และนายฮาจิเมะ พักอาศัยอยู่ มีพฤติการณ์เป็นผู้ควบคุมและสั่งการพนักงานคอลเซ็นเตอร์ พร้อมพบพยานหลักฐานโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ รวมจำนวน 42 รายการ และพยานหลักฐานที่ยืนยันว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์จริง ได้แก่ ภาพการสนทนากับสมาชิกคอลเซ็นเตอร์, สคลิปและข้อมูลของเหยื่อที่ถูกหลอกลวง เป็นต้น

จุดที่ 2 บ้านพูลวิลล่า จากการตรวจค้นพบคนต่างด้าวสัญชาติญี่ปุ่น จำนวน 3 ราย ได้แก่ นายเคนจิโระ นายทากาฮิโระ และ นายคัตสึฮิโตะ พักอาศัยอยู่ มีพฤติการณ์ในการเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ พร้อมพบพยานหลักฐานโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต กระดานรายชื่อ ข้อมูลของผู้เสียหาย รวมจำนวน 37 รายการ และพบพยานหลักฐานที่ยืนยันว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์จริง ได้แก่ ภาพสคลิป การสนทนากับเหยื่อ ข้อมูลของเหยื่อที่ถูกหลอกลวง เป็นต้น

จากพฤติการณ์และพยานหลักฐานดังกล่าว เป็นที่น่าเชื่อว่าคนต่างด้าวทั้ง 5 ราย เป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม ผบก.สส.สตม. จึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร จากนั้นได้นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวไว้รอการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า หัวหน้าแก๊งเคยเป็นสมาชิกยากูซ่า แก๊งยามากูจิ ในประเทศญี่ปุ่น โดยตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีผู้เสียหายถูกหลอกลวง มูลค่าความเสียหายรวมเป็นเงิน 24,000,000 เยน/วัน หรือประมาณ 5 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งพบว่ากลุ่มผู้กระทำความผิดนำเงินไปฟอกโดยการเปิดธุรกิจมีลักษณะการใช้คนไทยเป็นนอมินี ซึ่งจะได้ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขยายผลการกระทำความผิดต่อไป

Japanese phone scam crims arrested in Pattaya

PATTAYA – Immigration police have arrested five Japanese men allegedly operating a call scam centre that has been defrauding elderly Japanese out of about 5 million baht a day.

Pol Maj Gen Panumat Boonyalak, acting commissioner, said the arrests were made in response to a complaint from the Japanese embassy.

The embassy had informed the Immigration Bureau that a scam gang operating from Thailand was telling elderly people in Japan that they would receive refunds for past medical expenses worth millions of yen, but to make it work they would first have to send them at least 500,000 yen (about 111,600 baht).

Pol Col Chaya Panakit, the bureau’s chief interrogator, said immigration police had subsequently raided two pool villas.

They arrested two Japanese suspects, Ukai Takayuki, 42, and Hatakana Hajime, 40, at one residence. The two men allegedly commanded the call scam gang.

Police also seized 42 mobile phones and tablet computers, along with scammers’ scripts, recorded conversations between scammers and victims and victims’ data.

At the second villa, three Japanese suspects were arrested. Pol Col Chaya said Kenjiro Kimura, 37, Takahiro Inouem, 34, and Katsuhito Yamaguchi, 28, were hired to make the calls to potential victims.

He said 37 mobile phones and tablet computers, lists and data of victims and scammers’ scripts were also seized at this villa.

Pol Col Chaya said one of the gang leaders was a member of the Japanese Yakuza. The gang had been tricking victims out of about 24 million yen a day, about 5 million baht.

The gang had Thai nominees running businesses to launder the money, he said.

Suspected scam gang accomplice Parichat was arrested at her house in Chaiyaphum province on Saturday, while Charlotte Austin described at a press conference how she was scammed out of 4 million baht on 10 December.
2024.12.16 Woman arrested for opening mule account linked to scam targeting beauty queen Charlotte Austin
A 40-year-old woman was arrested in Chaiyaphum province for allegedly opening a mule bank account used by a Cambodian scam gang that defrauded Charlotte Austin, a Thai-British beauty queen, of 4 million baht.
The arrest was confirmed on 16 December by Pol Lt Gen Trairong Phewphan, acting commissioner of the Cyber Crime Investigation Bureau (CCIB).
The suspect, identified only as Parichat, was apprehended at her residence on Saturday. According to Pol Lt Gen Trairong, she and her husband had been transported illegally to Cambodia from Sa Kaeo province shortly before the scam occurred.
Bangkok Post reported that Parichat was taken to a building operated by a Chinese-led scam gang in Cambodia. She was paid 3,500 baht to open a bank account for the group, and her facial scan was used during the registration process.
The building, described as a hub for fraudulent operations, housed approximately 20 Thai nationals. It also contained mock offices designed to resemble official Thai government departments, complete with scammers impersonating officials.
The scam targeting Austin involved a call she received on 7 December. The 25-year-old, a former 5th runner-up in the 2022 Miss Grand Thailand pageant, was told by a man claiming to be an official from the Department of Special Investigation (DSI) that she was implicated in a money laundering case involving the scandal-hit Stark Corporation.
The impersonator instructed her to transfer funds to “prove her innocence.” Believing the call to be legitimate, Austin transferred a total of 4 million baht in three transactions.
The funds were deposited into Parichat’s account, converted into digital currency, and subsequently transferred to an account linked to a Chinese suspect.
Austin publicly recounted her ordeal during a press conference held last week. She explained how the scammers exploited her fear of legal trouble and her trust in what appeared to be legitimate officials.
2024.12.13 เด็ดปีก “มังกรเทาดำ” ทลายเครือข่ายแก๊งคอลฯ จับเพิ่ม 4 สมาชิกแก๊ง รับบทนอมินีเปิดบริษัทฟอกเงิน

เด็ดปีก “มังกรเทาดำ” ทลายเครือข่ายแก๊งคอลฯ จับเพิ่ม 4 สมาชิกแก๊ง รับบทนอมินีเปิดบริษัทฟอกเงิน

ตำรวจภูธรภาค 2 เด็ดปีก “มังกรเทาดำ” รุกคืบทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จับเพิ่ม 4 สมาชิกแก๊ง รับบทนอมินีเปิดบริษัทฟอกเงิน ยึดทรัพย์คฤหาสน์ รถหรู 152 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ที่ตำรวจภูธรภาค 2 พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (รรท.ผบช.ภ.2) พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 และ พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 (ผบก.สส.ภ.2) แถลงผลการทลายเครือข่ายมังกรเทาดำ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เหิมเกริมเปิดออฟฟิศในทาวน์เฮ้าส์แห่งหนึ่ง ใน อ.ศรีราชา จว.ชลบุรี ซึ่งจับกุมได้ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2567 โดยล่าสุดกองบังคับการสืบสวนสวนตำรวจภูธรภาค 2 ขยายผลจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาเครือข่ายฟอกเงินเพิ่มเติม 5 ราย เป็นชาวไทย 3 ราย ชาวจีน 2 ราย ยึดทรัพย์รวมมูลค่า 152 ล้านบาท

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เปิดเผยว่าตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รรท.จตช. ให้ความสำคัญในการสืบสวนขยายผลแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดังนั้นหลังจากทลายจับกุมแก๊งมังกรเทาดำ ที่ลอบตั้งฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใน จว.ชลบุรี ได้แล้ว จึงขยายผลยึดทรัพย์ต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้รวบรวมหลักฐานออกหมายจับกลุ่มผู้กระทำผิด 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มพนักงานออฟฟิศ จำนวน 11 คน 2.กลุ่มบัญชีม้า (รวมจัดหาบัญชี,ยิงแอดโฆษณา) จำนวน 15 คน และ 3.กลุ่มบอส หรือระดับสั่งการ และเครือข่ายฟอกเงิน จำนวน 9 คน รวมออกหมายจับทั้งหมด 35 คน จับกุมได้แล้ว 21 คน อยู่ระหว่างติดตามจับกุม 14 คน ซึ่งบางส่วนหลบหนีออกนอกประเทศ อยู่ในกระบวนการติดตามจับกุม

จากการสืบสวนสอบสวนเครือข่ายนี้แปลงเงินที่ได้จากการหลอกลวงประชาชนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลคริปโทเคอเรนซี (Cryptocurrency) จากนั้นจะโอนต่อไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัลนิรนามต่าง ๆ และยังพบว่าตัวการระดับสั่งการ ซึ่งเป็นชาวจีนนำเงินที่ได้จากการหลอกลวงประชาชนบางส่วนมาใช้ในประเทศไทย โดยใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ซื้อบ้านหรู รถยนต์ ทรัพย์สินต่าง ๆ รวมถึงประกอบกิจการในนามบริษัทนอมินี โดยใช้บริษัทนอมินีที่เปิดขึ้นมาซื้อ และถือครองทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ จึงได้ประสานงานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ( ปปง. ) ตรวจสอบ นำไปสู่การติดตามจับกุม และตรวจสอบยึดทรัพย์สิน ดำเนินการตามกฎหมาย” รรท. ผบช.ภ.2 กล่าว

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ในระหว่างวันที่ 12 – 13 ธันวาคม 2567 ได้ติดตามจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาเครือข่ายฟอกเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์มังกรเทาดำ เพิ่มเติม 5 ราย เป็นชาวไทย 3 ราย คนจีน 2 ราย และตรวจยึดทรัพย์สินที่สำคัญดังนี้

1.บ้านหรู เนื้อที่ 3 งาน 12.5 ตรว. ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี มูลค่า 65 ล้านบาท

2.บ้านหรู เนื้อที่ 3 งาน 6.2 ตรว. ม.10 ต.หนองหรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี มูลค่า 75 ล้านบาท

3.รถยนต์ LEXUS สีขาว มูลค่าประมาณ 8 ล้านบาท

4.รถยนต์เก๋งยี่ห้อเบนซ์ สีขาว มูลค่า 3.5 ล้านบาท

5.รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อมาสด้า 2 สีดำ มูลค่า 4 แสนบาท

และทรัพย์สินอื่น ๆ รวมทั้งหมดมูลค่ากว่า 152 ล้านบาท

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวย้ำว่า ได้เร่งรัดขยายผลติดตามจับกุมดำเนินคดีกับเครือข่ายกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป และขอให้คนไทยที่คิดจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เช่น รับจ้างเปิดบัญชีเป็นธุระจัดหาซิมผีบัญชีม้า รวมถึงการเข้าไปร่วมทำธุรกิจหรือถือครองทรัพย์สินซึ่งอาจเข้าข่ายนอมินี จะมีความผิดตามกฎหมาย นอกจากความผิดเรื่องคอลเซ็นเตอร์แล้วยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 และพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว พ.ศ.2542 ด้วย

ทั้งนี้ประชาชนสามารถแจ้งข้อมูล เบาะแส ชาวต่างชาติ หรือคนไทยต้องสงสัยเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก ตำรวจภูธรภาค 2

2024.12.11 ตร.ไซเบอร์ รวบ 2 ผัวเมียปลอมเพจวัดตุ๋นเหยื่อสายบุญ เจ้าตัวรับติดพนันออนไลน์

ตร.ไซเบอร์ รวบ 2 ผัวเมียปลอมเพจวัดตุ๋นเหยื่อสายบุญ เจ้าตัวรับติดพนันออนไลน์

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4 ได้ตรวจพบความผิดปกติจากสื่อโซเชียลว่ามีเพจเฟซบุ๊ก ธรรมมะไร่เชิญตะวันและเพจเรารักการทำบุญได้โพสต์ภาพ เชิญชวนทำบุญกฐินสามัคคี ณ วัดดงยางเหนือ อ.พบพระ จ.ตาก ซึ่งทั้ง 2 เพจ มีข้อความเชิญชวนบริจาดที่เหมือนกัน และมีประชาชนกดถูกใจและสนใจร่วมทำบุญกันเป็นจำนวนมาก แต่มีความคิดเห็นบางรายการที่แสดงความไม่พอใจว่าโพสต์นี้เป็นโพสต์หลอกลวง ต่อมาพบว่ายังมีโพสต์เกี่ยวกับให้ช่วยกันบริจาคเนื่องจากมีพระป่วยบาดเจ็บและมีรูปพระที่นอนบนเตียงใน ร.พ.มาโชว์ มีคนร่วมบริจาคจำนวนมากด้วยความสงสาร

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร.รรท.ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษา ผบก.สอท.4 และ พ.ต.อ.อนุชา ศรีสำโรง ผกก.2 บก.สอท.4 ให้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขออนุมัติหมายจับจากศาล

จากการตรวจสอบการโพสต์พบว่า บัญชีที่รับบริจาคเป็นคนละธนาคารกัน แต่เป็นชื่อบุคคลเดียวกัน ตรวจสอบยอดเงินทำบุญ ตลอดช่วงเวลา 4-5 เดือนที่ผ่านมา รวมกว่าล้านบาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงพื้นที่สอบถามทาง อ.พบพระ จ.ตาก ถึงข้อมูลวัดดงยางเหนือ แต่ได้รับคำตอบว่าวัดดังกล่าวไม่มีอยู่จริง จึงได้รวบรวมหลักฐานขออนุมัติหมายจับจากศาลเพื่อจับกุมตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดี

ต่อมาวันที่ 10 ธ.ค.67 พ.ต.ท.พร้อมพล นิตย์วิบูลย์ สว.กก.2 บก.สอท.4, ร.ต.อ.เปรมประชา อุตมา, ร.ต.อ. ยุทธพงษ์ อมรมงคลศิลป์ รอง สว.กก.2 บก.สอท.4 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4 ได้จับกุม นายตะวัน อายุ 31 ปี ชาว จ.ตาก และ น.ส.วรวรรณ อายุ 31 ปี ชาว จ.กำแพงเพชร โดยจับกุมตัวได้ที่ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.ตาก ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

นายตะวันผู้เป็นสามี รับว่าได้ทำการฉ้อโกงจริง โดย ตอนแรกคิดว่าจะทำบุญจริงๆ แต่พอมียอดเงินเข้ามาเยอะ จึงอดใจไม่ไหวเพราะตนเองภาระเยอะ ผ่อนรถหลายคัน ลูกหลายคน นอกจากนี้นายตะวันรับกับตำรวจว่า ตนเองติดพนันออนไลน์ เงินที่ได้มาทั้งหมด ก็เอาไปเล่นพนันหมด ทุกวันนี้ต้องมาเช่ารีสอร์ท อยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ เพราะมีปากเสียงกับญาติ เนื่องจากโดนตำหนิในเรื่องที่ไปหลอกลวงผู้อื่น จนตัวเองทนไม่ไหว อยู่บ้านไม่ได้ต้องแยกตัวออกมา ส่วนกลโกงก็แสนจะง่าย โดยจะไปก๊อปรูปพระป่วย รูปโปสเตอร์กฐินทำบุญต่างๆ มาโพสต์เรียกความศรัทธา และความสงสาร เพราะรู้ว่าคนไทยเชื่ิอง่าย ส่วนภรรยา ให้การภาคเสธว่าตนไม่ได้รู้เรื่องในการโกงนี้เลย เลี้ยงลูกอย่างเดียว แต่เงินที่สามีโอนมาให้ในบัญชีก็ร่วมกันใช้จ่ายภายในครอบครัวจริง

网络警察逮捕了一对夫妇,他们伪造了 Wat Tun 页面来诈骗受害者。店主沉迷于网络赌博。

2024.12.2 Thailand’s biggest call scam centre boss arrested near Cambodia

Thailand’s biggest call scam centre boss arrested near Cambodia

Police on Monday arrested a Chinese man suspected of heading Thailand’s largest call scam facility near the border with Cambodia.

Pol Maj Gen Montree Theskhan, commander of the Crime Suppression Division, said Demin Wen, 35, was arrested on a road leading to Cambodia in Ban Non Sao Ae village of tambon Phan Suek in Sa Kaeo’s Aranyaprathet district.

According to the commander, Mr Demin was suspected of acquiring a large number of SIM boxes, SIM cards and related equipment that were installed at many rented houses in Chiang Mai province and used to facilitate call scam centres.

Police recently raided the houses in the northern province and arrested his Thai wife who was allegedly assigned to supervise the houses. At that time, police found 642 SIM boxes, 590,000 SIM cards, 72 computers and 1,455 mobile phones.

During the previous raids, the Chinese man drove from Chiang Mai to Nakhon Sawan province where he abandoned his vehicle and caught a bus to Bangkok.

His Chinese wife Yin Xiaoying allegedly arranged for his further escape from Bangkok to Sa Kaeo which borders Cambodia.

Mr Demin told police that he did not know that his Thai wife had been arrested and he only planned to visit the Rong Kluea market in Sa Kaeo.

Police apprehended his 37-year-old Chinese wife at Suvarnabhumi airport on Sunday.

Demin Wen talks to police in Sa Kaeo. (Police photo)

泰国最大电话诈骗中心老板在柬埔寨附近被捕

泰国警方周一在柬埔寨边境附近逮捕了一名中国男子,该男子涉嫌领导泰国最大的电话诈骗机构。

35 岁的 Demin Wen 在通往柬埔寨的一条公路上被捕

周日,警方在素万那普机场逮捕了他 37 岁的中国妻子。

2024.11.25 จนท.รุดช่วย ชาวต่างชาติ 39 ชีวิต หนีแก๊งจีนเทา ข้ามน้ำเมยเข้าฝั่งไทย

จนท.รุดช่วย ชาวต่างชาติ 39 ชีวิต หนีแก๊งจีนเทา ข้ามน้ำเมยเข้าฝั่งไทย

จนท.รุดช่วย ชาวต่างชาติ 39 ชีวิต หนีแก๊งจีนเทา ข้ามน้ำเมยเข้าฝั่งไทย
เมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 25 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ตาก ทหารหน่วยเฉพาะกิจราชมนู อ.แม่สอด จ.ตาก กองกำลังนเรศวร ร่วมกับตำรวจ สภ.แม่สอด ฝ่ายปกครอง อ.แม่สอด และตรวจคนเข้าเมือง จ.ตาก ได้ให้ความช่วยเหลือชาวต่างชาติจำนวน 39 คน โดยแบ่งเป็น
ชาวศรีลังกา 32 คน
ชาวเนปาล 5 คน
ชาวมาเลเซีย 1 คน
ชาวรัสเซีย 1 คน

ทั้งหมดหนีตายข้ามแม่น้ำเมยมาจากบ้านเมี๊ยะตะหย่า อ.เมียวดี จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ตรงข้ามบ้านดอนไชย ตำบลแม่ตาว อ.แม่สอด ชาวต่างชาติทั้งหมดต่างดีใจ เมื่อพบกับเจ้าหน้าที่ทหารไทย และสื่อสารภาษาอังกฤษกันได้ โดยทั้งหมดให้การว่าถูกหลอกลวงไปทำงานในโครงการของไท่ฉาง ของกลุ่มจีนเทาผ่านทางโซเชียล และเมื่อไปทำงานฝั่งเมียนมาแล้วไม่ได้เป็นไปตามข้อตกลง และยังถูกใช้งานเยี่ยงทาส จึงพยายามติดต่อหาเพื่อน และสถานทูตตัวเอง

เจ้าหน้าที่ทหารแจ้งว่า สืบเนื่องมาจากทางสถานทูตประเทศศรีลังกาในประเทศไทยได้ประสานมาให้ช่วยเหลือชาวศรีลังกาจำนวน 32 คน จึงวางแผนให้ความช่วยเหลือทันที เมื่อสามารถข้ามมาถึงเขตไทย สำหรับพื้นที่ของกลุ่มไท่ฉางอยู่ในเขตอิทธิพลของกองกำลังกะเหรี่ยง DKBA โดยมี พลจัตวาไซจ่อละ (โกไซ) ผู้บัญชาการกองพลน้อยที่ 1 อยู่ด้านตรงข้าม บ้านช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระยะนี้มีชาวต่างชาติที่ถูกหลอกไปทำงานของกลุ่มจีนเทาหนีมาเขตไทยมากขึ้น ทำให้ทหารหน่วยเฉพาะกิจราชมนูต้องทำงานหนักในการให้ความช่วยเหลือ และมีสถานทูตของประเทศต่างๆ ติดต่อมาเพื่อให้ความช่วยเหลือชาวต่างชาติที่ถูกหลอกลวงไปทำงานฝั่งเมียนมา

11月25日凌晨5点,记者从来兴府报道,来兴府湄索县拉差马努特种部队、纳黎宣部队以及湄索警察局、湄索县行政部门和来兴府移民局的士兵向 39 名外国人提供援助,分为
32斯里兰卡人 5尼泊尔人 1马来西亚人 1俄罗斯人
他们全部从缅甸克伦邦苗瓦迪省苗瓦迪县班米亚塔亚渡过莫伊河逃亡。

39名外國人從緬甸米瓦迪詐騙園區逃出 抵達泰國

泰國警方今天称,39名外籍人士逃離緬甸邊境城市米瓦迪(Myawaddy)的1個線上詐騙中心並穿越邊界入境,泰方官員正在加緊辨認這群疑似人口販運受害者的身分。

泰國邊境城市美索(Mae Sot)的警察局長佩查拉特(Pittayakorn Petcharat)表示,一群來自斯里蘭卡、尼泊爾、馬來西亞和俄羅斯的人士越界進入泰國的達省(Tak),他們是從就在邊界另一頭的米瓦迪逃來。

根據觀察家說法,米瓦迪由一個與緬甸軍方為伍的民兵組織把持,是製毒和線上詐騙集團的溫床。

佩查拉特表示,斯里蘭卡駐泰國大使館獲悉32位公民被困在緬甸後,便要求泰國當局予以協助。其他逃離抵達泰國的還有5名尼泊爾人、1名馬來西亞人與1名俄羅斯人。

2024.11.23 เครือข่ายหมอบุญ หลอกเหยื่อลงทุน 247 คน เสียหาย 7.5 พันล้านบาท พบเดินทางไปจีนแล้ว

เครือข่ายหมอบุญ หลอกเหยื่อลงทุน 247 คน เสียหาย 7.5 พันล้านบาท พบเดินทางไปจีนแล้ว

ตำรวจแถลงยัน หมอบุญและพวก หลอกลงทุน 5 โครงการ เหยื่อหลงเชื่อ 247 คน มูลค่าความเสียหาย 7,500 ล้านบาท มีนักธุรกิจลงทุนมากสุด 600-700 ล้านบาท พบเจ้าตัวเดินทางไปจีนแล้ว รถยนต์ 19 คันหายไป ส่วนลูก-เมียคาดยังอยู่ไทย

วันนี้ (23 พ.ย.67) ที่ห้องประชุม บก.น.1 กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 และ พ.ต.อ.ศักยะ แสงวรรณ รอง ผบก.น.1 ร่วมกันแถลงผลการจับกุม เครือข่ายนายแพทย์บุญ วนาสิน หรือหมอบุญ และพวกรวม 9 คน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน, ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และธนาคารปฏิเสธไม่ให้ใช้เงินตามเช็คนั้น

พล.ต.ต.นพศิลป์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือน ธ.ค.66 มีผู้เสียหายมาเเจ้งความที่ สน.ห้วยขวาง 1 ราย จากนั้นปี 2567 ตลอดทั้งปี จนถึงเดือนพ.ย. มีผู้เสียหายมาแจ้งความ 247 ราย รวม 520 คดี เบื้องต้นเป็นคดีตามพ.ร.บ.เช็ค ทาง สน.ห้วยขวางจึงส่งเรื่องมายังกองบัญชาการตำนครบาล เนื่องจากคดีมีความสลับซับซ้อน จึงได้เเต่งตั้งคณะ บก.น.1 เป็นพนักงานสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน พบพฤติกรรมของนายเเพทย์บุญ เเละพวกมีการระดมทุน โดยชักชวนจากตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ว่าตนเป็นตัวแทนการระดมเงินลงทุนให้นายแพทย์บุญ และครอบครัว

ผู้เสียหายถูกโบรกเกอร์ติดต่อชักชวนลงทุน ร่วมกับนายแพทย์บุญ กับพวก โดยอ้างว่าลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจทางการแพทย์ 16,000 ล้านบาท ใน 5 โครงการ 1.โครงการสร้างศูนย์มะเร็ง ย่านปิ่นเกล้า พื้นที่ 7 ไร่ ใช้งบประมาณ 4,000 ล้านบาท 2.โครงการเวลเนสเซ็นเตอร์ ย่านพระราม 3 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างที่พักอาคารสูง 52 ชั้นรองรับผู้สูงอายุ 400 ห้อง มูลค่า 4-5 พันล้านบาท 3.สร้างโรงพยาบาลใน สปป.ลาว รวม 3 แห่ง เวียงจันทน์ 2 แห่ง, จำปาสัก 1 แห่ง 4. เข้าร่วมลงทุนกับโรงพยาบาลในเวียดนาม โดยใช้งบลงทุน 4-5 พันล้านบาท และ 5.การสร้างเมดิคอลอินเทลลิเจนท์ บางละมุง ชลบุรี ทำหน้าที่ด้านไอที มูลค่า 100 ล้านบาท หากผู้เสียหายร่วมลงทุนแล้ว ในปี 2566 จะได้กำไร 700 ล้านบาท ปี 2567 อาจเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาท

โดย 5 โครงการดังกล่าว หลังระดมทุนเรียบร้อยแล้ว ก็จะให้ผู้เชี่ยวชาญ บริษัทไทยเมดิคอลกรุ๊ป จำกัด หรือ TMG ดูแลโครงการทั้งหมด เนื่องจากเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ และยังมีแผนการนำเข้าบริษัทตลาดหลักทรัพย์ในปี 2567 แต่พฤติกรรมในการหาแหล่งเงินทุนของนายแพทย์บุญ เเละพวก มีลักษณะการไปกู้ยืมเงินกับเเหล่งเงินกู้ โดยมีภรรยาเเละลูกสาว เป็นผู้ค้ำประกัน เซ็นสลักหลังในเช็คทุกฉบับมอบให้ผู้เสียหาย ในช่วงแรกมีการชำระดอกเบี้ยในอัตราสูง ให้กับบางส่วนบางคน ต่อมาไม่มีการจ่ายเลย ซึ่งชุดสืบสวนพบว่า นายแพทย์บุญและพวกพยายามจ่ายเช็คให้กับเจ้าหนี้ โดยใช้เช็คที่ผู้เสียหายไม่สามารถนำไปใช้ดำเนินการขึ้นเงินได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดการฟอกเงิน ที่มีอัตราโทษสูง เเละจะต้องถูกยึดอายัดทรัพย์ อีกทั้งพฤติกรรมกลุ่มผู้ต้องหายังทำการตลาด ซื้อโฆษณา สื่อออนไลน์ สำนักพิมพ์หลายเเห่ง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

นอกจากนี้ ยังพบว่าหลังได้เงินทุน 7,500 ล้านแล้ว ได้ให้โบรกเกอร์ทยอยถอนเงินครั้งละเป็นร้อยล้าน โดยโบรกเกอร์จะได้ดอกเบี้ยเเละเปอร์เซ็นต์เป็นค่าตอบเเทน ซึ่งการกระทำทั้งนายแพทย์บุญเเเละโบรกเเกอร์ จะไปชักชวนผู้ร่วมลงทุน ที่เป็นนักเล่นหุ้น กระเป๋าหนัก

ต่อมามากองบังคับการตำรวจนครบาล 1 จึงได้แต่งตั้งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนขึ้น โดย พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ รอง ผบช.น. เร่งดำเนินการโดยด่วน เนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายสูง ผู้ร่วมลงทุนที่เสียหายมากที่สุดถึง 600-700 ล้านบาท เป็นนักธุรกิจที่หลงเชื่อว่าจะมีการลงทุนจริง รวมถึงบุคคากรทางแพทย์ รวมทั้งหมด 247 คน ความเสียหาย 7,564 ล้านบาท ตั้งเเต่เดือนธ.ค.66 ถึงเดือนต.ค.67

ส่วนเงินจำนวนดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า มีการนำไปใช้จ่ายในธุรกิจเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีอยู่จริง 4-5 โรงพยาบาลหรือไม่ รวมถึงต้องไปตรวจสอบในช่วงที่มีการนำเข้าวัคซีนโควิด 19 ว่าเงินดังกล่าวไปอยู่ที่ไหน นอกจากนี้ ยังตรวจสอบพบว่า รถยนต์ 19 คันของนายแพทย์บุญหายไป ส่วนอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโฉนดที่ดิน 21 เเปลง พบว่ามีการยักย้ายถ่ายเทไปยังคนในครอบครัว ซึ่งจะต้องตรวจสอบว่า ทรัพย์สินดังกล่าวได้มาในช่วงปี 2567 หรือไม่

สำหรับผู้ร่วมขบวนการ ศาลอาญาได้ออกหมายจับ 9 ราย ประกอบด้วยกลุ่มที่ 1 คือ นายแพทย์บุญ วนาสิน นางจารุวรรณ ภรรยาของนายแพทย์บุญ , น.ส.นลิน บุตรสาวของนายแพทย์บุญ

กลุ่มสอง คือ น.ส.ศิวิมล ผู้จัดการเกี่ยวกับเอกสาร สัญญาต่างๆ และจัดการด้านการเงิน และ กลุ่มที่ 3 โบรกเกอร์ คือ นางอัจจิมา เจ้าหน้าที่บริษัทหลักทรัพย์ เป็นผู้ชักชวนให้ร่วมลงทุน, นายภาคย์ เจ้าหน้าที่บริษัทหลักทรัพย์ ผู้ประสานงานให้คำปรึกษา ชักชวนลงทุน , นางภัทรานิษฐ์ เป็นนายหน้าและผู้ชักชวนแนะนำการลงทุน ผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน และ นายธนภูมิ ซึ่งเป็นตัวแทนติดต่อชักชวนผู้เสียหาย เป็นผู้จัดทำสัญญา ขณะนี้ตำรวจจับได้เเล้ว 6 ราย และได้มีการนำตัวส่งศาลอาญาฝากขังเรียบร้อยแล้ว

ส่วนหมอบุญได้ประสาน ตม. ตรวจสอบพบว่า เดินทางออกจากไทยตั้งเเต่วันที่ 29 ก.ย.67 เวลา 14.25 น. เส้นทางกรุงเทพ ฮ่องกง ล่าสุดทราบว่านายเเพทย์บุญ เดินทางต่อจากฮ่องกงไปจีนเเล้ว อยู่ระหว่างการประสานตำรวจสากล ส่วนลูกเมียอยู่ระหว่างติดตามตัวคาดว่าอยู่ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม จะพยายามถึงที่สุดในการตามล่าตัว ตามหาทรัพย์สินกลับมาคืนผู้เสียหายให้ได้ ฝากถึงผู้ที่จะลงทุน ก่อนร่วมลงทุน ให้ตรวจสอบอย่างละเอียดว่าโครงการต่างจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่

布恩医生网络欺骗247名受害者投资,造成75亿泰铢损失

警方证实,Boon 博士及其同伙欺骗投资者投资 5 个项目,受骗金额达 75 亿泰铢。

2024.10.25 ตม.จว.ชลบุรี รวบหนุ่มอดีตรองผู้จัดการแบงก์จีน ปลอมเอกสารโกงเงินสินเชื่อ มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท หนีกบดานพัทยา

TMN Cable TV Pattaya
2024.10.26
รวบหนุ่มอดีตรองผู้จัดการแบงก์จีน ปลอมเอกสารโกงเงินสินเชื่อ มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท หนีกบดานพัทยา
พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.ตม.จว.ชลบุรี พร้อมด้วย พ.ต.ท.กวิณวัชร์ อารยะสุริวงศ์ รอง ผกก.ตม.จว.ชลบุรี พ.ต.ต.จาริต เร้าเสถียร สว.ตม.จว.ชลบุรี ร.ต.อ.ศิรวุฒิ มานิพพาน รอง สว.ตม.จว.ชลบุรี นำกำลังชุดสืบสวนตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี บุกเข้าจับกุมนายหวัง หลวน ฟา อายุ 49 ปี ชาวจีน หนีหมายจับประเทศบ้านเกิด ได้ที่ห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี
พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.ตม.จว.ชลบุรี เผยว่า ตม.จว.ชลบุรี ได้รับแจ้งประสานข้อมูลจาก สถานเอกอัครราชทูตจีน ว่านายหวัง ผู้ต้องหาตามหมายจับทางการจีน เมืองเหอเปีย ในข้อหา “ฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสาร” โดยมีพฤติการณ์ เป็นรองผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศจีน ร่วมกันกับพวกปลอมแปลงเอกสาร เพื่อโกงสินเชื่อของธนาคาร มูลค่าความเสียหาย 45 ล้านหยวน (ประมาณ 225 ล้านบาท)
หลังก่อเหตุ นายหวัง ได้หลบหนีมากบดานในเมืองพัทยา จึงสืบสวนติดตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว จากการตรวจค้นพบเงินสดจำนวนประมาณ 1.7 แสนบาท โดยเจ้าตัวรับสารภาพว่า ได้หลบหนีเข้ามาที่ประเทศไทย ผ่านแนวชายแดนกัมพูชา (ไม่ทราบบริเวณ) และมาพักอาศัยที่ จ.ชลบุรี ได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว ส่วนสาเหตุที่ต้องโกงเงินธนาคารที่ตัวเองทำงานอยู่ เพราะว่าต้องการเอาเงินที่ได้จากส่วนแบ่งล้างหนี้สิน เบื้องต้น ตม.ชลบุรี จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.หนองปรือ ดำเนินคดี.

รวบหนุ่มอดีตรองผู้จัดการแบงก์จีน ปลอมเอกสารโกงเงินกว่า 200 ล้านหนีกบดานพัทยา
25 ต.ค. 2567 • 20:00 น.

ตม.จว.ชลบุรี รวบหนุ่มอดีตรองผู้จัดการแบงก์จีน ปลอมเอกสารโกงเงินสินเชื่อ มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท หนีกบดานพัทยา

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 25 ต.ค. 67 พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.ตม.จว.ชลบุรี พร้อมด้วย พ.ต.ท.กวิณวัชร์ อารยะสุริวงศ์ รอง ผกก.ตม.จว.ชลบุรี พ.ต.ต.จาริต เร้าเสถียร สว.ตม.จว.ชลบุรี ร.ต.อ.ศิรวุฒิ มานิพพาน รอง สว.ตม.จว.ชลบุรี นำกำลังชุดสืบสวน ตม.จว.ชลบุรี บุกเข้าจับกุมนายหวัง หลวน ฟา อายุ 49 ปี ชาวจีน ผู้ต้องหาหนีหมายจับประเทศบ้านเกิด ได้ที่ห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี

พ.ต.อ.นภัสพงษ์ เผยว่า ตม.จว.ชลบุรี ได้รับแจ้งประสานข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูตจีน ว่า นายหวัง ผู้ต้องหาตามหมายจับทางการจีน เมืองเหอเปีย ในข้อหา “ฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสาร” โดยมีพฤติการณ์ เป็นรองผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศจีน ร่วมกันกับพวกปลอมแปลงเอกสาร เพื่อโกงสินเชื่อของธนาคาร มูลค่าความเสียหาย 45 ล้านหยวน (ประมาณ 225 ล้านบาท)

หลังก่อเหตุ นายหวัง ได้หลบหนีมากบดานในเมืองพัทยา จึงสืบสวนติดตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว จากการตรวจค้นพบเงินสดจำนวนประมาณ 1.7 แสนบาท โดยเจ้าตัวรับสารภาพว่า ได้หลบหนีเข้ามาที่ประเทศไทย ผ่านแนวชายแดนกัมพูชา (ไม่ทราบบริเวณ) และมาพักอาศัยที่ จ.ชลบุรี ได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว ส่วนสาเหตุที่ต้องโกงเงินธนาคารที่ตัวเองทำงานอยู่ เพราะว่าต้องการเอาเงินที่ได้จากส่วนแบ่งล้างหนี้สิน เบื้องต้น ตม.ชลบุรี จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.หนองปรือ ดำเนินคดี.

中国男子逃往泰国被捕,涉骗贷2.25亿泰铢

10月25日,春武里府移民局局长纳帕蓬警上校率队,与副局长及调查组成员突击搜查芭提雅一酒店,成功逮捕49岁的中国籍男子王龙发。该男子涉嫌在中国伪造文件骗取巨额银行贷款后潜逃至泰国。

据纳帕蓬透露,春武里府移民局此前接到中国大使馆的通报,称中国河北籍公民王某,曾担任某银行副经理。他涉嫌与他人合谋伪造文件,从银行骗取贷款高达4500万元人民币(约2.25亿泰铢)。河北省公安机关已对其发布通缉令,指控罪名包括诈骗和伪造文件。

案件发生后,王某自中国潜逃至泰国并藏身在春武里府的芭提雅。中国大使馆随即请求当地警方协助抓捕。接到请求后,春武里府移民局展开行动,当场在酒店内将王某抓获,并查获其随身携带的17万泰铢现金。

经讯问,王某供认自己经柬埔寨边境非法入境泰国,且在春武里府滞留居住已有约2个月。他表示,骗取贷款的目的是需要用该笔资金来偿还债务。目前,春武里府移民局已按程序将王某移交给Nong Prue警察局处理。

2024.10.25 Natthamon ‘Nutty’ Khongchak arrested in Indonesia after two years on the run for forex trading scam

POLICETV สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงปฏิบัติการจับกุม 2 แม่ลูก “นัทตี้ ไดอารี่” กลางเมืองอินโดนีเซีย หลอกเหยื่อลงทุนหุ้นกว่า 6,000 ราย เสียหายกว่า 2,000 ล้าน
ตามที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยกำหนดนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อ ซึ่งนโยบายข้อที่ 9 กำหนดว่า “รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ความช่วยเหลือและเยียวยาเหยื่อได้อย่างทันท่วงที”
.
วันนี้ (ศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2567) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2, พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษก ตร. และ ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ร่วมแถลงข่าว ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง กรณีปฏิบัติการจับกุม 2 แม่ลูก “นัทตี้ ไดอารี่” กลางเมืองอินโดนีเซีย หลอกเหยื่อลงทุนหุ้นกว่า 6,000 ราย เสียหายกว่า 2,000 ล้าน
.
สืบเนื่องจากเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ได้มีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ณ ศูนย์แจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และสถานีตำรวจทั่วประเทศ เพื่อดำเนินคดีกับเน็ตไอดอลสาว ชื่อ นางสาว สุชาตาฯ หรือ นัทตี้ Nutty Diary ยูทูบเบอร์ชื่อดัง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท และมีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อกว่า 6,000 คน ซึ่งในเวลาต่อมาจำนวนผู้เสียหายได้เพิ่มขึ้น และมีการแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกหลายหน่วยงาน เช่น บช.สอท. และสถานีตำรวจในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
.
สำหรับ นางสาว สุชาตาฯ หรือ นัทตี้ Nutty Diary เป็นเน็ตไอดอลที่มีชื่อเสียงมาจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เคยเป็นอดีตศิลปินจนเคยมีผลงานเพลงในประเทศเกาหลีใต้ ก่อนผันตัวเป็น “Youtuber” เจ้าของช่อง “Nutty’s Diary” มีผู้ติดตามกว่า 8 แสนคน ต่อมาเริ่มมีการลงโฆษณาและชักชวนประชาชนลงทุนผ่านทางแอปพลิเคชัน Instragram และแพลตฟอร์มอื่นๆ เพื่อรับฝากเทรดหุ้น และอนุพันธ์ของหุ้น มีการลงโพสต์โชว์ผลกำไร และอ้างตัวเป็นโค้ชเทรดหุ้นว่ามีใบอนุญาตรับรองจาก ก.ล.ต. สามารถสอนนักเรียนเทรดหุ้นได้ และยังมีการกล่าวอ้างว่า ได้มีการจัดตั้งบริษัท สุชาดา จำกัด ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท และได้รับใบอนุญาตการลงทุนจาก ก.ล.ต. อีกด้วย
.
ต่อมากลุ่มผู้ต้องหาได้ให้ผู้หลงเชื่อเข้าพูดคุยผ่านกลุ่ม Line ที่มีสมาชิกจำนวนกว่า 3,000 คน มีการอัปเดตและลงข้อมูลชวนเชื่ออย่างต่อเนื่อง ทำให้เหยื่อที่เข้าร่วมกลุ่มเชื่อว่าผู้ประกอบธุรกิจนี้มีการเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด เช่น มีการซื้อคอนโดที่พัทยาจำนวนหลายห้อง ซื้อโรงงาน คลินิก ที่ดิน รถยนต์หรู และใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ซึ่งภาพลักษณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อตัดสินใจร่วมลงทุน ในส่วนรูปแบบการลงทุน กลุ่มผู้ต้องหาจะเปิดให้ลงทุนขั้นต่ำเป็นจำนวน 5,000 บาท สูงสุดไม่เกินจำนวน 5,000,000 บาท ต่อ 1 บิล โดยแต่ละคนจะมี่กี่บิลหรือกี่แนบท้ายสัญญาก็ได้ โดยระยะเวลาในการได้รับกำไรจะใช้เวลาประมาณ 30 วัน นับจากวันที่ระบุในสลิปโอนเงิน ในส่วนกำไรจากการเทรดจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาการทำสัญญา เช่น สัญญา 3 เดือน มีอัตรากำไร 25% ของเงินทุน สัญญา 6 เดือน มีอัตรากำไร 30% ของเงินทุน สัญญา 12 เดือน มีอัตรากำไร 35% ของเงินทุน โดยสามารถรับเงินจากกำไรที่ได้จากการเทรดได้ทุกเดือนตามข้อตกลงในการทำสัญญา โดยจะให้ผู้เสียหายโอนเงินพร้อมส่งข้อมูลและสลิปโอนเงินผ่านทางแอปพลิเคชัน Line
.
จากการที่เหยื่อลงทุน กลุ่มผู้ต้องหาไม่ได้ระบุว่าจะนำเงินที่ได้รับฝากนั้นไปลงทุนในหุ้นบริษัทใด สุดท้ายเมื่อถึงเวลารับเงินปันผล ผู้ที่หลงเชื่อลงทุนกลับไม่ได้รับเงินปันผลและไม่สามารถขอรับเงินลงทุนคืนได้แต่อย่างใด คาดว่ามีผู้เสียหายทั่วประเทศรวมกันกว่า 6,000 ราย สร้างความเสียหายกว่า 2 พันล้านบาท โดยมีผู้เข้าแจ้งความดำเนินคดีแล้วจำนวน 475 ราย
.
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดรวบรวมพยานหลักฐาน จนสามารถขออำนาจศาลทั่วประเทศออกหมายจับ นางสาวสุชาตาฯ อายุ 31 ปี ได้ทั้งสิ้น จำนวน 13 หมายจับ และหมายจับ นางธานิยาฯ อายุ 66 ปี (มารดาของนัทตี้) ได้ทั้งสิ้นจำนวน 2 หมายจับ และอยู่ระหว่างดำเนินการออกหมายจับเพิ่มเติมอีกหลายคดี ซึ่งต่อมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้มีมติรับคดี นางสาวสุชาดาฯ หรือ นัทตี้ เป็นคดีพิเศษ
.
จากการสืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ได้หลบหนีออกนอกประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติไปก่อนหน้านี้แล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้แจ้งไปยัง INTERPOL และตำรวจในประเทศต่าง ๆ เพื่อสืบสวนหาข่าวนำผู้ต้องหาทั้ง 2 มาดำเนินคดีในประเทศไทยเนื่องจากเป็นคดีที่สำคัญ สร้างความเสียหายให้กับประชาชนในวงกว้าง และจากการสืบสวนทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศต่าง ๆ จนท้ายที่สุดพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ได้หลบหนีไปยังประเทศอินโดนีเซีย เจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียจึงสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 รายได้ที่เมืองดูไม จังหวัดรีเยา บนเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567
.
ทั้งนี้ จากการสืบสวนเบื้องต้นทำให้ทราบว่า ทั้ง 2 ราย ได้หลบหนีไปพำนักอยู่ในประเทศมาเลเซียเป็นเวลานาน โดยไม่มีทั้งหนังสือเดินทางและบัตรประจำตัวประชาชนของประเทศไทย ต่อมาได้ลักลอบเข้าประเทศอินโดนีเซียผ่านเกาะบาตัม ซึ่งเป็นเกาะและเมืองแห่งหนึ่งในจังหวัดเกอปูเลาวันรีเยา ก่อนเดินทางต่อไปยังเมืองดูไม จึงถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว และนำไปสู่การขยายผลจับกุม นางธานิยาฯ ผู้เป็นมารดาได้ในที่สุด จากนั้นได้เพิกถอนวีซ่าของผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ประสานสถานทูตไทยในอินโดนีเซีย และตำรวจชุดจับกุมเพื่อยืนยันตัวบุคคลและผลักดันผู้ต้องหากลับประเทศไทย โดยได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , บช.สอท. และ DSI เพื่อรอรับตัว ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง
.
นอกจากนี้ พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า การติดตามจับกุมคนร้ายในคดีนี้ เกิดขึ้นได้จากความสัมพันธ์อันดี และการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างตำรวจไทย ตำรวจอินโดนีเซีย และตำรวจประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลก ทำให้สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และเยียวยากลุ่มผู้เสียหาย ซึ่งเป็นสัญญาณให้ทุกคนรู้ว่า ใครที่คิดจะทำความผิดและหลบหนีไปต่างประเทศก็จะไม่รอดพ้นตำรวจไทยในการติดตามตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทย

Former YouTube star back in Thailand to face fraud charges
Natthamon ‘Nutty’ Khongchak arrested in Indonesia after two years on the run for forex trading scam

DSI officers escort Natthamon “Nutty” Khongchak and her mother Thaniya Khongchak through Don Mueang airport on Friday evening, after they arrived from Indonesia to face charges of swindling thousands of followers out of 2 billion baht through a foreign-exchange trading scam. (Photo from Police TV Facebook)

Former YouTube celebrity Natthamon “Nutty” Khongchak and her mother arrived back in Thailand on Friday evening to face charges of swindling thousands of followers out of 2 billion baht through a foreign-exchange trading scam after they were arrested in Indonesia.

The two suspects were met at Don Mueang airport by Pol Lt Gen Thawatchai Piyaneelabut, assistant national police chief; and Pol Capt Wissanu Chimtrakul, deputy director-general of the Department of Special Investigation (DSI). They departed in a DSI vehicle.

Before being taken from the airport, Natthamon said briefly to reporters that she wanted to apologise to all the victims. She and her mother declined to give any details about the case.

Natthamon was wanted on 13 arrest warrants issued by Thai police Cyber Crime Investigation Bureau investigators. Her mother Thaniya Khongchak was wanted on two warrants on the same charges, said Pol Lt Gen Thawatchai. The case was later taken on as a special case by the DSI.

The two suspects and Natthamon’s secretary, Nichaphat Rattanukrom, fled Thailand in July last year through a natural border crossing in the South. They headed to Kuala Lumpur before boarding a boat to illegally enter Indonesia, said Pol Lt Gen Thawatchai.

Indonesian police arrested Natthamon and her mother on Oct 18 in Dumai in Riau province on the island of Sumatra for illegal entry. Ms Nichaphat remains at large.

Pol Col Wissanu said the DSI and police had already seized assets worth 16 million baht from the suspects involved in the pyramid scheme that Natthamon is accused of operating.

The investigation is being expanded to examine the money trail so that more assets would be seized.

More than 6,000 people fell victim to the scheme with losses estimated at 2 billion baht, said the DSI deputy chief. So far, 445 victims have filed complaints against Natthamon and the others involved.

Natthamon, 31, attracted more than 800,000 subscribers to her YouTube channel, “Nutty’s Diary”, where she mostly posted dance videos.

Capitalising on her popularity, she later presented herself as an investment guru, promising high returns to more than 6,000 people, many of whom later reported they had not received any payouts.

The arrests of Natthamon and her mother followed efforts by fraud victims, led by lawyer Phaisal Ruangrit, who filed complaints on Aug 24, 2022.

The lawyer said the former YouTuber had used her popularity to lure victims with the promise of high returns in a short time.

She invited people to deposit money in her account, promising 25% returns for three-month contracts, 30% for six-month contracts and 35% for 12-month contracts. She pledged to pay returns every month.

Natthamon “Nutty” Khongchak attracted more than 800,000 subscribers to her YouTube channel, “Nutty’s Diary”, where she mostly posted dance videos before she decided to become an investment guru. (Photo: @nutty.suchataa Instagram)
!
Natthamon “Nutty” Khongchak 的 YouTube 频道“Nutty’s Diary”吸引了超过 80 万订阅者,在决定成为投资大师之前,她主要在该频道上发布舞蹈视频。

前 YouTube 明星返回泰国面临欺诈指控
Natthamon ‘Nutty’ Khongchak 因外汇交易诈骗逃亡两年后在印度尼西亚被捕

前 YouTube 名人 Natthamon “ Nutty ” Khongchak 和她的母亲于周五晚上返回泰国,面临通过外汇交易骗局从数千名粉丝手中骗取 20 亿泰铢的指控。她们在印度尼西亚被捕。

在被带离机场前,纳塔蒙简短地对记者说,她想向所有受害者道歉。她和她的母亲拒绝透露有关此案的任何细节。

2024.10.25 เปิดเส้นเงิน 3 บอสดารา รับตรงดิไอคอน “บอสกันต์” รับเละเกือบ 80 ล้าน!

เปิดเส้นเงิน 3 บอสดารา รับตรงดิไอคอน “บอสกันต์” รับเละเกือบ 80 ล้าน!

เปิดผลตรวจเส้นทางการเงิน 3 บอสดารา รับตรง “ดิไอคอนกรุ๊ป” พบ “บอสกันต์” ฟันเละ รับส่วนแบ่งคนเดียวเกือบ 80 ล้านบาท หลักฐานยันชัดไม่ใช่พรีเซนเตอร์

รายงานข่าวแจ้งว่า ความคืบหน้าการตรวจสอบความเชื่อมโยงเส้นทางการเงินของ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับ กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 18 ราย โดยเฉพาะกลุ่มบอสที่เป็นศิลปินดารา ที่ทางเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ได้ร่วมกันตรวจสอบร่วมกับทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ก่อนหน้านี้

เบื้องต้นผลการตรวจสอบพบว่า นายกันต์ กันตถาวร หรือ “บอสกัน” ตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน มีเงินโอนจากบัญชีบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป เข้าบัญชี จำนวน 33 ครั้ง รวมเป็นเงิน 79,482,686.80 บาท

โดยแบ่งเป็นปี 2564 จำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 5,756,928.32 บาท ปี 2565 จำนวน 15 ครั้ง รวมเป็นเงิน 41,836,164.64 บาท ปี 2566 จำนวน 10 ครั้ง รวมเป็นเงิน 23,515,753.04 บาท ปี 2567 จำนวน 6 ครั้ง รวมเป็นเงิน 8,373,840.80 บาท

ส่วน น.ส.พิชญา วัฒนามนตรี หรือ “บอสมิน” มีการรับโอนเงินจากบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ตั้งแต่ปี 2566 – 2567 จำนวน 9 ครั้ง รวมเป็นเงิน 11,390,847.44 บาท โดยแบ่งเป็น ปี 2566 จำนวน 7 ครั้ง เป็นเงิน 8,548,024.34 บาท และ ปี 2567 จำนวน 2 ครั้ง เป็นเงิน 2,842,823.10 บาท

ขณะที่ นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือ “บอสแซม” ตั้งแต่ปี 2566-2567 มีการรับโอนเงินเข้ามาจำนวน 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 3,194,614.80 บาท แบ่งเป็นปี 2566 จำนวน 2 ครั้ง เป็นเงิน 1,861,391.48 บาท และ ปี 2567 จำนวน 1 ครั้ง เป็นเงิน 1,333,223.32 บาท

อย่างไรก็ตาม สำหรับเงินที่ถูกโอนมายังบุคคลทั้ง 3 บอสดาราเหล่านี้ จะเป็นในลักษณะส่วนแบ่งเงินรายได้ของบริษัทฯ แตกต่างกับกลุ่มศิลปินดาราคนอื่นๆ อย่าง บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือ โดม ปกรณ์ ลัม ที่จะได้รับเป็นเงินค่าจ้างพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งจะมีสัญญาการว่าจ้างเป็นรายปี

Celebs ‘received huge payments from iCon’
Records show firm accused of running a pyramid scheme paid TV host Kan B80 million

The money trail of three celebrities linked to The iCon Group shows that they received huge payments from the online sales company, with TV host Kan “Boss Kan” Kantatavorn alone receiving almost 80 million baht

The Anti-Money Laundering Office and the police Central Investigation Bureau have examined the financial records of all 18 suspects in the huge fraud case, particularly the three stars: Kan, actor Yuranunt “Boss Sam” Pamornmontri and actress Pechaya “Boss Min” Wattanamontree.

The initial investigation results showed that Kan received 33 money transfers totalling 79.48 million baht from The iCon Group into his bank account from 2021 to this year. The transfers were as follows:
2021: Two transfers for 5.75 million baht
2022: Fifteen transfers totalling 41.83 million baht
2023: Ten transfers totalling 23.51 million baht
2024: Six transfers totalling 8.37 million baht.

Actress Pechaya received nine transfers totalling 11.39 million baht:

2023: Seven transfers totalling 8.54 million baht
2024: Two transfers amounting to 2.84 million baht.

Actor Yuranunt received 3.19 million baht: two transfers totalling 1.86 million baht in 2023 and another 1.33 million in 2024.

Presenter now ‘a victim’

A source familiar with the investigation said the payments received by the three celebrities were apparently seen as shares of the company’s revenue. They differed from the sums paid to other stars such as actor Pakorn “Boy” Chaborirak and actor-singer Pakorn “Dome” Lam, who had been hired as product presenters under yearly contracts.

Pakorn, 40, met with police on Oct 14 and told reporters he had terminated his presenter contract with The iCon Group and was among the damaged parties.

All 18 suspects — dubbed “bosses” in the iCon marketing hierarchy — were arrested on Oct 16 after many people filed fraud complaints against the company, which sold health and dietary supplements. They have since been remanded in custody.

The iCon Group attracted many people by offering cheap online sales courses. But once they enrolled, they were asked for more money to buy products, followed by larger financial commitments to help advertise for new recruits.

All of the suspects, including founder and CEO Warathaphon “Boss Paul” Waratyaworrakul, have been charged with colluding in public fraud and inputting false information into a computer system. They have denied all the charges.

On Thursday, the Department of Special Investigation (DSI) said it would handle suspected money-laundering in relation to the fraud case against the company.

On the same day, police said 8,137 people had filed complaints about losses totalling 2.41 billion baht related to the iCon business.

名人们“从 iCon 那里得到了巨额报酬”
记录显示,该公司被指控经营传销骗局,向电视主持人 Kan 支付了 8000 万泰铢

2024.10.24 DSI รับ “ดิไอคอน กรุ๊ป” เป็นคดีพิเศษ หลังตรวจพบกลุ่มผู้บริหารฟอกเงิน

DSI แถลงรับคดีฟอกเงิน กรณี ดิไอคอนกรุ๊ป เป็นคดีพิเศษ

วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2567) เวลา 14.00 น. พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายวิทยา นีติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมายและโฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และนายอัษฎาวุธ ศรีปิตา ผู้ช่วยโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ร่วมกันแถลงข่าวการรับคดีฟอกเงิน กรณี ดิไอคอนกรุ๊ป เป็นคดีพิเศษ

ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสืบสวนตามมาตรา 23/1 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรณีเกี่ยวกับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับ

การจำหน่ายเครื่องสำอาง เครื่องดื่ม และอาหารเสริม ในลักษณะการประกอบธุรกิจขายตรงว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือความผิดฐานฟอกเงินหรือความผิดอื่นที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือไม่ โดยมี ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน เลขสืบสวนที่ 178/2567 แต่เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ว่าพนักงานสอบสวน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จับกุมดำเนินคดีกับผู้บริหารและเครือข่ายของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด จำนวน 18 ราย ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน” อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งตามประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2565 เรื่องกำหนดรายละเอียด ของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547

คณะพนักงานสืบสวนตามคำสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าวข้างต้น ได้ทำการสืบสวนปรากฏข้อมูลและพยานหลักฐานน่าเชื่อว่า กลุ่มผู้บริหารบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด และเครือข่ายดังกล่าวมีพฤติการณ์ร่วมกันกระทำความผิด โดยนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดเกี่ยวกับการหลอกลวงประชาชนให้ลงทุนทำธุรกิจ ดังกล่าวทำการโอนหรือเปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สินจำนวนมาก ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐาน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยจากการตรวจสอบพบทรัพย์สินที่มีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่าได้มาในช่วงเวลากระทำความผิด ดังนี้

1.ที่ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 13 แปลง เนื้อที่รวมประมาณ 3 ไร่เศษ ราคาประเมินมูลค่าประมาณ 60,000,000 บาท ประกอบด้วย ที่ดินและอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด จำนวน 8 แปลง เนื้อที่รวม 240 ตารางวา ในพื้นที่เขตบางเขน และที่ดินที่เป็นชื่อของนายวรัตน์พลฯ จำนวน 5 แปลง เนื้อที่ 282.20 ตารางวา ในพื้นที่เขตบางเขน บึงกุ่ม บางกะปิ ลาดพร้าว

2.ที่ดินในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จำนวน 3 แปลง รวมเนื้อที่กว่า 63 ไร่เศษ ราคาซื้อขายประมาณ 300,000,000 บาท

3.ทรัพย์สินที่ได้จากการที่คณะพนักงานสืบสวนได้ทำการตรวจค้นเป้าหมายห้องเช่าบริเวณถนนรามอินทรา ซอย 9 จากการตรวจค้นพบสิ่งของทรัพย์สินซึ่งจากข้อมูลการสืบสวนทราบว่า กลุ่มผู้บริหารบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด บางคน ได้นำมาเก็บซุกซ่อนไว้เพื่อไม่ให้ตรวจสอบ พบก่อนที่ศาลอาญาจะอนุมัติหมายจับ เช่น นาฬิกามีเครื่องหมายการค้ายี่ห้อดัง สร้อยที่มีลักษณะเป็นสีทอง พระเครื่องเลี่ยมสีทอง กระเป๋ามีเครื่องหมายการค้ายี่ห้อดัง และพยานหลักฐานอีกจำนวนหนึ่ง

กรมสอบสวนคดีพิเศษได้พิจารณาจากพยานหลักฐานตามข้อเท็จจริงดังกล่าวน่าเชื่อได้ว่ากลุ่มผู้บริหาร บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด มีพฤติการณ์ โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นการกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงินอันเป็นความผิดตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมจึงรับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ

DSI รับ “ดิไอคอน กรุ๊ป” เป็นคดีพิเศษ หลังตรวจพบกลุ่มผู้บริหารฟอกเงิน

ดีเอสไอ เผย ตรวจพบกลุ่มผู้บริหาร “ดิไอคอน กรุ๊ป” โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สิน เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน จึงรับเป็นคดีพิเศษ

24 ต.ค. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายวิทยา นีติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมายและโฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และนายอัษฎาวุธ ศรีปิตา ผู้ช่วยโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกันแถลงข่าวการรับคดีฟอกเงิน กรณี ดิไอคอนกรุ๊ป เป็นคดีพิเศษ

ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสืบสวนตามมาตรา 23/1 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรณีเกี่ยวกับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายเครื่องสำอาง เครื่องดื่ม และอาหารเสริม ในลักษณะการประกอบธุรกิจขายตรงว่า มีการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือความผิดฐานฟอกเงินหรือความผิดอื่นที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือไม่

โดย ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน เลขสืบสวนที่ 178/2567 แต่เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า พนักงานสอบสวน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จับกุมดำเนินคดีกับผู้บริหารและเครือข่ายของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด จำนวน 18 ราย ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน” อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งตามประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2565 เรื่องกำหนดรายละเอียด ของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547

คณะพนักงานสืบสวนจึงสืบสวนปรากฏข้อมูลและพยานหลักฐานน่าเชื่อว่า กลุ่มผู้บริหารบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด และเครือข่ายดังกล่าวมีพฤติการณ์ร่วมกันกระทำความผิด โดยนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดเกี่ยวกับการหลอกลวงประชาชนให้ลงทุนทำธุรกิจ ดังกล่าว “ทำการโอนหรือเปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สินจำนวนมาก”

ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐาน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยจากการตรวจสอบพบทรัพย์สินที่มีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่า ได้มาในช่วงเวลากระทำความผิด ดังนี้

1.ที่ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 13 แปลง เนื้อที่รวมประมาณ 3 ไร่เศษ ราคาประเมินมูลค่าประมาณ 60,000,000 บาท ประกอบด้วย ที่ดินและอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด จำนวน 8 แปลง เนื้อที่รวม 240 ตารางวา ในพื้นที่เขตบางเขน และที่ดินที่เป็นชื่อของนายวรัตน์พลฯ จำนวน 5 แปลง เนื้อที่ 282.20 ตารางวา ในพื้นที่เขตบางเขน บึงกุ่ม บางกะปิ ลาดพร้าว

2.ที่ดินในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จำนวน 3 แปลง รวมเนื้อที่กว่า 63 ไร่เศษ ราคาซื้อขายประมาณ 300,000,000 บาท

3.ทรัพย์สินที่ได้จากการที่คณะพนักงานสืบสวนได้ทำการตรวจค้นเป้าหมายห้องเช่าบริเวณถนนรามอินทรา ซอย 9 จากการตรวจค้นพบสิ่งของทรัพย์สินซึ่งจากข้อมูลการสืบสวนทราบว่า กลุ่มผู้บริหาร บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด บางคน ได้นำมาเก็บซุกซ่อนไว้เพื่อไม่ให้ตรวจสอบ พบก่อนที่ศาลอาญาจะอนุมัติหมายจับ เช่น นาฬิกามีเครื่องหมายการค้ายี่ห้อดัง สร้อยที่มีลักษณะเป็นสีทอง พระเครื่องเลี่ยมสีทอง กระเป๋ามีเครื่องหมายการค้ายี่ห้อดัง และพยานหลักฐานอีกจำนวนหนึ่ง

กรมสอบสวนคดีพิเศษได้พิจารณาจากพยานหลักฐานตามข้อเท็จจริงดังกล่าวน่าเชื่อได้ว่า กลุ่มผู้บริหาร บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด มีพฤติการณ์ “โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สิน” ที่ได้จากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นการกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงินอันเป็นความผิดตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมจึงรับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ

10月24日14时,泰国特别案件调查厅(DSI)代理厅长育塔纳警少校、副厅长维萨努等人联合宣布将“The Icon集团诈骗案”列为特案,代理厅长及副厅长为调查组负责人。

涉案公司The Icon集团从事化妆品、饮料及膳食补充剂的销售,DSI依法对其直销业务是否存在诈骗或洗钱行为进行了调查,目前掌握的情况如下:

国家警察总署逮捕并以诈骗罪起诉了The Icon集团18名嫌疑人,该罪属于洗钱罪的上游犯罪。调查组获得的证据表明,该案嫌疑人共同实施了诈骗活动,并将犯罪所得财产转移,以下财产均于犯罪期间获得:

1.13块曼谷土地,总面积约3莱,估价约6千万泰铢,其中8块为The Icon集团位于曼谷Bang Khen 区的土地和建筑物,总面积240平方米,另外5块为公司CEO“BOSS保罗”(沃拉潘)名下土地,总面积282.2平方米,分别位于Bang Khen、Bueng Kum、Bang Kapi、Lat Phrao地区。

2.3块巴吞他尼府土地,总面积超过63莱,估价约3亿泰铢。

3.刑事法院批准逮捕令之前,警方还在Ramintra路第9巷一出租屋内还发现大量财产,如带有名牌商标的手表和包、金项链、护身符和其他证据,经调查,这是该公司涉案高管为防止警方搜查而隐藏的。

特案厅认为,根据相关法律,以上行为已经构成洗钱罪,该案符合特别案件的成立条件。

2024.10.18 The iCon Group has become a hot national topic, especially following the issuance of arrest warrants for 18 key figures

iCon 集团涉嫌诈骗案已成为全国热门话题

‘$247m transferred by key accused in The iCon Group case before arrest’
FRIDAY, OCTOBER 18, 2024

Adviser to Interior minister shows transfer evidence in FB post

An irregular transfer of US$247,911,936 (more than 8.2 billion baht) took place just one hour before the arrest of Jirawat Saengpakdee, also known as “Coach Lap”, one of the key accused in The iCon Group scandal, adviser to the minister of Interior Ekapop Luangprasert has alleged.

Ekapop, the founder of the volunteer “Sai Mai Must Survive” group, posted the accusation on his Facebook page and also posted evidence of the money transfer.

The alleged scam involving The iCon Group has become a hot national topic, especially following the issuance of arrest warrants for 18 key figures, all of whom have either been apprehended or turned themselves in. Recently, all 18 individuals were remanded to police custody without bail.

Jirawat was one of the 18 key figures arrested and is considered a critical individual holding many secrets. As a programer, he managed the back-end systems for The iCon Group.

Most recently, officers from the Department of Special Investigation executed a search warrant at Serve Rich Co Ltd, a company owned by Coach Lap. It was discovered that some data had already been removed.

17 iCon fraud suspects sent to jail
CEO to make first court appearance Friday, DSI searches server for more evidence
17 Oct 2024 at 20:39

Celebrities Yuranunt “Boss Sam” Pamornmontri and Kan Kantathavorn give a wai to reporters as they and 15 other suspects in the iCon fraud case are taken to the Criminal Court on Thursday afternoon. All were remanded in custody.

Seventeen suspects in The iCon Group fraud case have been sent to jail after the Criminal Court rejected bail requests submitted by three celebrities, citing flight risk, while the others did not apply for release.

The ruling came on a day in which the Department of Special Investigation (DSI) located a server containing the business records of the online sales company, which has been accused of running a pyramid scheme. Authorities also seized 220 million baht worth of assets including many luxury cars.

Police took 17 suspects to court on Thursday afternoon to seek their detention, while iCon founder and CEO Warathaphon “Boss Paul” Waratyaworrakul was still being questioned by investigators. He will be taken to court on Friday.

All 18 suspects — dubbed “bosses” in the iCon marketing hierarchy — were arrested on Wednesday after more than 1,000 people filed fraud complaints against the company. They say iCon lured them by offering cheap online sales courses and then coerced them into making further financial commitments — some leading to losses of hundreds of thousands of baht.

All of the suspects have been charged with colluding in public fraud and inputting false information into a computer system. They have denied all the charges.

Among the 17 suspects, only actor Yuranunt “Boss Sam” Pamornmontri, actress Pechaya “Boss Min” Wattanamontree and TV host Kan Kantathavorn submitted bail applications. However, the court turned down their requests, saying they posed a flight risk or might interfere with evidence.

About 150 representatives of victims also submitted a petition to the court opposing the suspects’ temporary release.

The 10 male suspects were sent to Bangkok Remand Prison and the seven female suspects to the Central Women’s Correctional Institution.

The court appearance followed about 14 hours of questioning by officers at the Central Investigation Bureau (CIB) building in Bangkok, where the suspects had been detained overnight following their arrest.

Pol Maj Gen Suwat Saengnum, the CIB deputy commissioner, said the initial questioning of Mr Warathaphon was expected to be completed on Friday within the maximum 48 hours allowed.

Authorities are gathering evidence and questioning victims before deciding whether to seek arrest warrants for more suspects, he added. (Story continues below)

Server mined for data

The Department of Special Investigation on Thursday searched a building in Bung Kum district of Bangkok for more evidence about the business operations of The iCon Group.

Investigators armed with a search warrant entered the building on Ratchada-Ram Indra Road in the Nuan Chan area at about 11am on Thursday. They had reliable information that iCon had rented a cloud server there to back up its data, said Pol Maj Woranan Srilam, a DSI spokesman.

Investigators had to move quickly as digital evidence could be changed easily and rapidly, he added.

An initial examination found that the server held data about all activities of the online business that would be useful, said Pol Maj Woranan.

The person in charge of the building was only the lessor and not affiliated with The iCon Group. They provided full cooperation to DSI investigators while they backed up the data from the server, he said.

“Aside from the money trail of the firm, the DSI will look into the company’s accounting to find out whether there are any irregularities in the business operation,” he said.

“We have been given cooperation from the Central Institute of Forensic Science to collect digital evidence.”

The DSI is also looking to search a house in Pathum Thani where a key computer programmer for the firm lived, the spokesman added.

Withoon Keng-ngarn, the lawyer for Mr Warathaphon, on Thursday visited his client, who denied all charges and confirmed the original testimony he gave to authorities.

Mr Withoon said his client was not worried that his bail request might be denied. He said it would only be a change of place to sleep and life would go on, the lawyer added.

The 17 other suspects are:
Jirawat “Boss Lab” Saengpakdee
Klod “Boss Peter” Sretthanan
Ms Panjaras “Boss Pan” Kanokrakthanaporn
Tananont “Boss Mor Ek” Hiranchaiwan
Ms Natpasorn “Boss Suay” Hatthanasorn
Ms Yasikan “Boss Soda” Ekchisanuphong
Nantharat “Boss Om” Chaowanapreecha
Thawinphas “Boss Win” Phupattanarin
Ms Kanokthorn “Boss Mae Ying” Puranasukhon
Ms Saowapaa “Boss Oommy” Wongsakha
Chetnaphat “Boss Tommy” Apiwattanakarn
Hassayanont “Boss Pop” Ekchisanuphong
Ms Wilailak “Boss Joy” Yawichai or Jensuwan
Thanarot “Boss Off” Thitijariyawat
Celebrity Yuranunt “Boss Sam” Pamornmontri
Actress Pechaya “Boss Min” Wattanamontree
Actor and TV host Kan “Boss Kan” Kantathavorn

All 18 iCon suspects arrested on fraud charges
CEO, top TV host, celebs and wellness clinic ‘doctor’ among others taken into custody
16 Oct 2024 at 21:46

The iCon Group CEO Warathaphon “Boss Paul” Waratyaworrakul is arrested at the Office of the Consumer Protection Board on Wednesday.

Police have arrested all 18 suspects wanted in the iCon Group fraud case, including founder and CEO Warathaphon “Boss Paul” Waratyaworrakul, the Central Investigation Bureau (CIB) said on Wednesday night.

Mr Warathaphon, 41, was taken into custody at the Consumer Protection Board office at around 4pm. He was there to give a statement about the operations of his business, which is being investigated for alleged pyramid selling and fraud.

The Criminal Court earlier on Wednesday approved arrest warrants for Mr Warathaphon and 17 others, some of them celebrities, on charges of public fraud and putting false information into a computer system.

Officers took Mr Warathaphon with them to search his house and offices after they arrested him. He was later taken to the CIB headquarters in Bangkok.

Kan Kantathavorn, a well-known TV host and actor linked to The iCon Group, was brought to the CIB at 7.30pm. His arrest followed that of two other suspects, Jirawat Saengpakdee and Kanokthorn Puranasukhon.

The last three suspects arrested were Saowapha Wongsakha, Songkrot “Boss Peter” Sretthanan and Chetnaphat “Boss Tommy” Apiwattanakarn.

Arrested earlier were Ms Panjarat “Boss Tan” Kanokrakthanaphorn; Tananont “Boss Mor Ek” Hiranchaiwan; Ms Natpasorn “Boss Suay” Chatthanasor; Ms Yasikan “Boss Soda” Ekchisanuphong; Nantharat “Boss Om” Chaowanapreecha; Thawinphas “Boss Win” Phupattanarin; Hassayanont “Boss Pop” Ekchisanuphong, and celebrity Yuranunt “Sam” Pamornmontri.

The arrest of Mr Tananont followed an earlier unsuccessful attempt to track him down at the iCon Wellness centre in Bangkok. He is qualified as a medical technician but is accused of falsely presenting himself as a doctor of medicine.

Also in custody were three more members of The iCon Group: actress Pechaya “Boss Min” Wattanamontree, Ms Wilailak “Boss Oil” Jengsuwan; and Thanarot “Boss Off” Thitijariyawat.

Pol Maj Gen Montree Theskhan, commander of the Crime Suppression Division, ordered building management to prepare rooms to interrogate the fraud suspects and cleaning staff to clean detention rooms.

More than 1,100 people have filed fraud complaints against The iCon Group, which sold health and dietary supplements.

The company attracted many people by offering cheap online sales courses. But once they enrolled, they were asked for more money to buy products, followed by larger financial commitments to help advertise for new recruits.

泰國有直銷集團捲入層壓式詐騙風波 當局拘18人及凍結資產
2024-10-17 23:19
無綫新聞 TVB News

泰國一個直銷集團捲入層壓式詐騙風波,當局拘捕18人及凍結資產。

泰國警方不僅拘捕涉案iCON集團的行政總裁,還有一名電視主持及一名演員,據報他們曾游說受害者參加計劃。當局又凍結iCON集團多名高層的銀行帳戶,涉及金額折合約2,900萬港元。

iCON集團主要直銷食品、美容及保健產品等,當局指該公司利用名人代言,並透過提供廉價銷售課程,誘騙受害者購買旗下產品,再轉售他人去賺取內佣金,一旦產品賣不出去,集團就要求受害者繼續找客戶。

據報逾500人向警方報案,受害者包括低收入人士,亦有高薪運動員等。當局不排除有更多人被捕,部分成員面對洗黑錢、欺詐等罪名,可能監禁十年。

2024.10.14 The iCon Group has gradually faced complaints from a group of victims, leading to its expansion into a major case in Thailand.

THE ICON GROUP SCANDAL ECHOES PAST FRAUDS AS THAI CELEBS FACE BACKLASH

The facial expressions of the actors during the press conference involving The iCon Group business of Boss Paul (center). From top left: Kan Kanta Thaworn, bottom left: Sam Yuranunt, top right: Min Pechaya, and bottom right: Boy Pakorn. (Khaosod Photo)

BANGKOK — The iCon Group, a large business enterprise involving celebrities, influencers, and stars acting as “bosses” to promote online product sales, has gradually faced complaints from a group of victims, leading to its expansion into a major case in Thailand.

These complaints were aired through a hot-topic news discussion program “Ride the Wave” (Hoen Krasae in Thai) hosted by Kanchai Kamnerdploy on Channel 3 television, eventually evolving into a national-level case with hundreds of complainants.

They accused the group of running a Ponzi scheme by tricking them into buying large quantities of their beauty and consumer products to sell to others, only to find out there’s little demand. Many people said that the success of this business was not primarily based on selling products, but on persuading others to join the investment network.

The story that shocked society was that these people were encouraged to invest more and more until they were penniless. Some attempted suicide, and some died, with similar motivations stemming from their admiration for celebrities and trust in the wealthy image of stars or influencers.

A billboard of The iCon Group company featuring famous actors as presenters for various products including cosmetics, coffee, and supplements, once prominently displayed in the center of Pattaya city.

Especially notable is “Boss Paul” Waratthapon Waratthawarakul, owner of the catchphrase “10 years of misplaced diligence won’t make you rich,” founder and CEO of The iCon Group, an online business empire using the “buy-sell” model to generate enormous income.

He used his life story of growing up with a single mother in Bangkok’s slums, working hard to earn money, and paying for his own education. He started his business journey selling tiles online, learned, and eventually opened The iCon Group company in 2018, growing rapidly in 2021 with sales exceeding 5 billion baht, with credible famous stars joining to enhance the image.

This massive damage prompted the new Police Chief of the Royal Thai Police, Kittirat Phanphet, to order a full police investigation.

Similarly, the government, represented by Minister Attached to the Prime Minister’s Office Jiraporn Sinthuprai, who oversees consumer protection agencies, called an urgent meeting of all relevant agencies at Government House on October 11.

Boss Paul (Waratthapon Waratthawarakul), founder and CEO of The Icon Group, arriving to provide information to the police, insisting that his business is legal, at the Consumer Protection Police Division on October 12, 2024.

Subsequently, officials from the Office of the Consumer Protection Board (OCPB) led a raid on The Icon Group HQ in Bangkok’s Bang Khen district and at least 9 points of The iCon Group network companies.

Officials found several important pieces of evidence, especially the company’s product warehouses located in Moo 8, Khlong Si Subdistrict, Khlong Luang District, Pathum Thani Province. They found only 2 packing employees and very few products, contrary to the company’s assets of 700 million baht.

Meanwhile, the famous stars involved in this business, including Sam Yuranunt Pamornmontri, Boy Pakorn Chatborirak, Min Peechaya Wattanamontree, and Kan Kantathavorn, all came out to confirm that they were only presenters, not partners, and they were very sorry to learn that people had been seriously affected.

Then, each of them, except Boy Pakorn, gradually went to meet with police officers. Until Sunday, October 13, Pol. Maj. Gen. Sopon Saraphat, Deputy Commander of the Central Investigation Bureau, announced that so far, the executives of The iCon Group, Boss Paul, three famous stars (Sam, Min, and Kan), and other executives who had been accused, totaling 6 people, now have the status of “suspects.”

Some of the products belonging to a 66-year-old male victim in Chonburi province, who invested 500,000 baht after being misled by celebrities. He was only able to sell products worth a little over 1,000 baht, and the rest had to be donated.

Police summarized the total number of victims throughout the previous week to be as high as 800, with total damages of over 266 million baht. If it reaches 300 million baht, this case will be elevated to a special investigation by the DSI police.

Minister Jiraporn said that officials are currently collecting evidence based on facts, and the OCPB has sent a letter to the Anti-Money Laundering Office (AMLO) to issue a letter to freeze assets first. AMLO will monitor the assets, and if there’s any transfer, it may also fall under money laundering.

The iCon Group business was exposed as a scandalous case following the case of a husband and wife selling gold online, known as “Mae Tak and Pa Beer” or Ms. Kornkanok Suwanabut and Mr. Kanphon Ruangaram, which was found to have more than 200 victims.

The similarity to The iCon Group case is that many stars and influencers participated in marketing activities to promote their gold business to make it look credible and persuade people to buy.

Images of Mae Tuck and Pa Beer, a couple who posted on social media showcasing their wealth to entice people to buy their gold, before being investigated and found to be selling substandard products.

Moreover, “Mae Tak and Pa Beer” also created content distributed on social media boasting of wealth including branded assets, luxury watches, luxury cars, millions of cash in bundles, and a luxurious lifestyle.

Another similarity is the exposure of this fraudulent business through the “Ride the Wave” TV program, revealing that most of the gold from this shop did not meet standards and was far from the quality advertised, making it impossible to resell at a price close to what was paid. Also, the gold shop’s lottery was not legally correct.

Both were arrested and prosecuted for multiple legal offenses, including consumer-related offenses, public fraud, and also matters related to the Computer Act in bringing false information into the system.

During the prosecution, police seized their assets including several luxury cars, 16 land title deeds, real estate, 6 luxury watches, and various assets worth several million baht. However, the safe that appeared in the content to be full of luxury watches turned out to be empty.

An important issue of these similar large cases that those responsible must continue to investigate is whether there are police officers involved or benefiting from these dubious wealth-creating businesses.

曼谷——iCon 集团是一家大型商业企业,其雇佣名人、网红和明星充当“老板”来促进网络产品销售,该集团逐渐面临一群受害者的投诉,导致其在泰国扩大为一起重大案件。

这些投诉通过 Kanchai Kamnerdploy 在第三频道电视台主持的热门新闻讨论节目“乘风破浪”(泰语为 Hoen Krasae)播出,最终演变成一个有数百人投诉的全国性案件。

他们指责该团体实施庞氏骗局,诱骗他们大量购买其美容和消费产品,然后卖给他人,最后却发现需求量很小。许多人表示,该业务的成功主要不是基于销售产品,而是说服其他人加入投资网络。

令社会震惊的故事是,这些人被鼓励投资越来越多,直到身无分文。

2024.10.4 ตำรวจไซเบอร์รวบสาวแสบร่วมขบวนการหลอกลงทุนหุ้นต่างประเทศ พบผู้เสียหายอื้อ ร้องทุกข์แล้วกว่า 22 คดี

ตำรวจไซเบอร์รวบสาวแสบร่วมขบวนการหลอกลงทุนหุ้นต่างประเทศ พบผู้เสียหายอื้อ ร้องทุกข์แล้วกว่า 22 คดี

ตำรวจไซเบอร์รวบสาวแสบร่วมขบวนการหลอกลงทุนหุ้นต่างประเทศ

พบผู้เสียหายอื้อ ร้องทุกข์แล้วกว่า 22 คดี

.

สืบเนื่องจากผู้เสียหายถูกกลุ่มคนร้ายสร้างเว็บไซต์ปลอมหลอกลงทุนหุ้น โดยอ้างมีนักลงทุนมืออาชีพคอยแนะนำ สร้างความน่าเชื่อถือ ผู้เสียหายจึงทดลองลงทุนตามวิธีที่คนร้ายบอก ปรากฏว่าได้กำไรและสามารถถอนเงินได้จริง ต่อมาผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปลงทุนในจำนวนเงินมากขึ้น ปรากฏว่าได้กำไรในแพลตฟอร์มจริง แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ ได้รับความเสียหายจึงมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน

.

พล.ต.ต.จิระวัฒน์ พยุงธรรม รอง ผบช.สอท. รรท.ผบช.สอท. จึงได้สั่งการ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสวนหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

.

กระทั่งช่วงเช้าของวันที่ 3 ต.ค. 67 พ.ต.อ.พิเชียรยศ อรุณพันธกุล ผกก.1 บก.สอท.1 ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายจับเข้าควบคุมตัว น.ส.รัชตวรรณ (ขอสงวนนามสกุล ) อายุ 20 ปี ชาวนนทบุรี ในข้อหา “ร่วมกัน,ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และฟอกเงิน” โดยควบคุมตัวได้ที่บริเวณถนนสาธารณะ หน้าอาคารแห่งหนึ่ง ตำบลปลายบาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี จึงนำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ชุดสืบสวนทำการสืบสวนขยายผลกับคดีที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

.

เบื้องต้น น.ส.รัชตวรรณฯ ให้การว่า เมื่อประมาณปี 2565 ได้มี น.ส.เมย์ ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง เพื่อนที่รู้จักทางเฟซบุ๊ก มาชักชวนไปสมัครงานขายของออนไลน์ ผ่านเพจชื่อ “หางานสายคลองธัญญะ” ต่อมาได้ติดต่อไปตามเพจดังกล่าว และแจ้งว่ามีงานให้ทำ โดยให้นัดพบกันที่เซียร์ รังสิต เมื่อไปถึงพบหญิงชื่อ น.ส.กาญจนา แจ้งว่ามาจากเพจดังกล่าว โดยได้ขอบัตรประชาชนไปโดยแจ้งว่าจะนำไปสมัครงานให้

.

ต่อมา น.ส.กาญจนา นำบัตรประชาชนไปประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วนำบัตรประชาชนมาคืน จากนั้นได้ใช้มือถือตัวเองมาสแกนหน้า อ้างว่าเป็นขั้นตอนการสมัครงาน และ น.ส.กาญจนาฯ ได้ทำขั้นตอนแบบเดียวกันกับอีกจำนวน 10 คน เมื่อดำเนินการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย น.ส.กาญจนา ได้ให้ค่าเดินทางจำนวน 1,200 บาท ต่อมาทราบภายหลังคือถูกนำชื่อไปเปิดบัญชี

受害者被一伙创建虚假网站的犯罪分子诱骗投资股票,声称有专业投资者提供建议建立信誉 受害人随后按照犯罪分子讲述的方法尝试投资,看起来您确实盈利了并且能够提取资金。随后,受害人又将这笔钱转去进行更大金额的投资,但无法取款了,所以来向调查人员投诉。

2024.9.27 ตำรวจไซเบอร์บุกจับ 3 ผู้จัดหาซิมผีบัญชีม้า หลอกคนไทยเปิดกว่า 500 บัญชี ส่งขายบอสชาวจีน

ตำรวจไซเบอร์บุกจับ 3 ผู้จัดหาซิมผีบัญชีม้า หลอกคนไทยเปิดกว่า 500 บัญชี ส่งขายบอสชาวจีน

.

ตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้มีการปราบปรามจับกุม ซิมผี บัญชีม้า จากการสืบสวนทราบว่าได้มีผู้ลักลอบจัดหาซิมผี บัญชีม้า และบัตรอิเล็กทรอนิกส์ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีที่ตั้งอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาใช้หลอกประชาชนคนไทยให้โอนเงินให้ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษา ผบก.สอท.4 พ.ต.อ.อนุชา ศรีสำโรง ผกก.2 บก.สอท.4 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4 ดำเนินการสืบสวน เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มขบวนการดังกล่าว

.

สืบเนื่องจากเมื่อประมาณวันที่ 19 กันยายน 2567 มีสายลับไม่ประสงค์ออกนาม มาร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4 ว่าพวกตนถูกหลอกเปิดบัญชี กล่าวคือเมื่อประมาณเดือน กรกฎาคม 2567 ได้มีนายสะอาด หรือต้า ติดต่อสายลับว่าต้องการเปิดบัญชีพร้อมบัตร ATM แลกกับค่าจ้างประมาณ 3,000 ถึง 4,000 บาท เมื่อสายลับตอบตกลง ก็พาไปเปิดบัญชีธนาคาร โดยให้เปิดบัญชีธนาคารพร้อมบัตร ATM และให้เปิดโมบายแบงกิ้ง เพื่อให้ได้รหัสเข้าโมบายแบงกิ้ง 6 หลัก จากนั้นก็จะพาสายลับไปพบกับธนกร หรือบาสที่ รีสอร์ทแห่งหนึ่งในอำเภอแม่สอด และให้นายบาสตรวจเอกสารบัญชีธนาคารบัตร ATM และรหัสแบงกิ้ง 6 หลัก จากนั้นนายบาสมีหน้าที่ให้สายลับทำการแสกนใบหน้า เมื่อแสกนเสร็จ นายบาสก็จะให้กลุ่มสายลับกลับไปก่อน

.

จากนั้นก็จะมี น.ส.กชกร หรือชิง แม่ของนายบาสเป็นผู้ควบคุมการจ่ายเงิน จ่ายเงินแก่นายบาสเพื่อนำไปให้นายต้าจำนวน 4,000 บาท เมื่อได้รับเงินนายต้าก็จะแบ่งให้สายลับหรือบุคคลที่ตนชักชวนให้มาเปิดบัญชีจำนวน 2,000 บาท อีก 2,000 บาท นายต้าก็จะเก็บไว้เอง ต่อมาประมาณวันที่ 19 ก.ย.67 กลุ่มสายลับได้ทราบว่ามีกลุ่มเพื่อนที่ถูกกลุ่มนายต้านายบาสชักชวนเปิดบัญชีเช่นเดียวกันเตือนว่า ให้ระวังจะนำบัญชีที่เปิดไว้ ไปใช้ในการกระทำความผิด จึงเกิดความกลัวรีบไปปิดบัญชี และเข้ามาร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4

.

ต่อมาวันที่ 26 ก.ย.67 พ.ต.อ.อนุชา ศรีสำโรง ผกก.2 บก.สอท.4 นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4 ติดตามจับกุมบุคคลทั้ง 3 คือ นายธนกร หรือบาส น.ส.กชกร หรือชิง และนายสะอาดหรือต้า ได้ที่บ้านพักหลังหนึ่ง ในพื้นที่หมู่ที่ 9 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อขาย ให้ เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” จากการตรวจค้นภายในบ้านพักพบสมุดบัญชีธนาคารเป็นชื่อบุคคลอื่นจำนวน 19 เล่มและบัตร ATM จำนวน 6 ใบ

.

จากการสอบถามบุคคลทั้ง 3 ให้การรับสารภาพว่า ตนเองได้เป็นคนที่ทำหน้าที่จัดหาบัญชีธนาคาร บัตร ATM และซิมการ์ดที่ได้ลงทะเบียนพร้อมใช้งานแล้วจริง โดยแบ่งหน้าที่กันทำ เนื่องจากเมื่อเดือนมกราคม 2567 ตนเองได้ค้นหาสมัครงานในเฟซบุ๊กพบโพสต์ข้อความงานสบายรายได้ดี ตนเองสนใจจึงได้ติดต่อไป และได้รับการตอบกลับจากแอดมินชื่อน้ำ ซึ่งแจ้งว่าตนเองอยู่ฝั่งเมียนม่า ทำงานร่วมกับสามีซึ่งเป็นคนจีนต้องการหาบัญชีธนาคาร บัตร ATM และซิมการ์ดที่ลงทะเบียนแล้วพร้อมใช้จำนวนมาก เพื่อใช้ในการรับเงินเข้าและออกจากพวกเว็บพนันและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะให้บัญชีละ 4,500 บาท โดยที่ถ้าหาได้จะให้คนเปิดบัญชี 3,000 บาท คนที่เป็นนายหน้าจะได้บัญชีละ 1,000 บาท และ อีก 500 บาทเป็นค่าเปิดบัญชีกับทางธนาคาร ตนเองสนใจจึงช่วยกันได้จัดหาวัยรุ่นในพื้นที่เพื่อเปิดบัญชีให้

.

โดยนายบาสยังยอมรับอีกว่าตนเองได้ทำมาแล้วประมาณ 1 ปี จัดหาคนเปิดบัญชีมาแล้วกว่า 400 – 500 บัญชี และเมื่อตนเองจัดหาบัญชีได้แต่ละครั้ง ทางเฟซบุ๊กหางานดังกล่าวจะนัดติดต่อให้ตนเองนำบัญชีธนาคาร บัตร ATM และซิมการ์ดที่ได้ลงทะเบียนซิมการ์ดพร้อมใช้งาน ไปที่ตลาดใกล้ชายแดน และจะมีคนจากประเทศเพื่อนบ้านข้ามฝั่งมารับเอาสิ่งของดังกล่าวและจ่ายเงินให้กับตนเอง จนมาวันนี้ตนเองได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวตนเองจึงรู้ว่าสิ่งที่ตนเองได้ทำมาตลอด 1 ปีนี้ เป็นการกระทำความผิดกฎหมาย

网络警察突袭并逮捕了 3 名拥有马账户的幽灵模拟游戏提供商,骗泰国人开了500多个账户,发给中国老板。

2024.9.17 สาวร้องถูกเอเจนซีหาคู่หลอกแต่งงานชายจีนไม่ตรงปก ซ้ำฮุบเงินสินสอด 7 แสน เมื่อหนีกลับไทย ถูกตามข่มขู่-คุกคาม

สาวร้องถูกเอเจนซีหาคู่หลอกแต่งงานชายจีนไม่ตรงปก ซ้ำฮุบเงินสินสอด 7 แสน เมื่อหนีกลับไทย ถูกตามข่มขู่-คุกคาม
9 ชั่วโมงที่แล้ว

สาวอดีตพนักงานต้อนรับ อายุ 24 ปี เดินทางมาร้องเรียนกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด หลังถูกเอเจนซีหาคู่ หลอกให้ไปแต่งงานกับชายชาวจีนที่อ้างว่าเป็นนักธุรกิจ แต่ปรากฎว่าเมื่อไปถึง ต้องไปอยู่อย่างลำบากบนภูเขาจนต้องหนีกลับมาเอง อีกทั้งยังพบว่าเอเจนซี่ยังได้ฮุบเงินค่าสินสอดไปกว่า 7 แสนบาท

ผู้เสียหาย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ตนมีคนรู้จักมาแนะนำว่า มีเอเจนซีที่จะช่วยหาคู่ให้ ไปแต่งงานกับชายชาวจีนที่อยากมีภรรยาเป็นคนไทย โดยจะได้ค่าสินสอดหลักแสน อยู่ดีกินดี มีครอบครัวที่ดี ตนจึงสนใจ และลองคุยกับฝ่ายชายผ่านทางแอปพลิเคชันวีแชท โดยฝ่ายชายบอกโปรไฟล์ว่าเป็นนักธุรกิจ มีคอนโดหรูในเมือง ซึ่งคุยกันประมาณ 1 เดือน ก็คุยถูกคอ ตนจึงตอบตกลงที่จะไปจดทะเบียนสมรสและใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศจีน โดยเอเจนซีได้ให้เงินมา 9 หมื่นบาท ค่าสินสอด

ทางฝ่ายชายได้ออกค่าใช้จ่ายการเดินทางให้ทั้งหมด ตนเดินทางไปถึงวันที่ 20 สิงหาคม พอไปถึงก็มีแฟนของเอเจนซีพาฝ่ายชายมารับ จากนั้นก็ขับรถไป แต่ระหว่างทางเริ่มเป็นการขึ้นภูเขา ห่างไกลเมืองไปเรื่อยๆ ตนก็แปลกใจว่าจะมีบ้านคนอยู่แถวนี้จริง ๆ หรอ พอไปถึงพบว่า เป็นบ้านหลังสุดท้ายบนภูเขา ห่างไกลจากชุมชนมาก ลักษณะเป็นฟาร์มแกะ ไร่ข้าวโพด ตนก็ถามฝ่ายชายว่าไหนบอกว่าจะพามาอยู่คอนโดหรูในเมือง ฝ่ายชายก็บอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงเก็บเกี่ยว ต้องมาช่วยแม่ทำงานก่อน แล้วเดี๋ยวจะพากลับลงไปอยู่ในเมือง

ตอนนั้นตนไม่มีทางเลือกแล้วก็เลยลองอยู่ดูก่อน โดยฝ่ายชายได้พาไปจดทะเบียนสมรส แต่พอมาใช้ชีวิตอยู่ ปรากฏว่า ลำบากมาก ไม่มีห้องน้ำ ต้องตักน้ำใส่กะละมังมาไว้ในห้องแล้วเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวแทนการอาบน้ำ ถ้าจะสระผมต้องรอสัปดาห์ละครั้งที่ฝ่ายชายจะพาลงไปใช้ห้องน้ำในชุมชน ส่วนการเข้าห้องน้ำ ก็ต้องไปขุดหลุมในไร่ข้าวโพด ตนจึงกลั้นไว้รอตอนไปสระผม ทำให้ท้องผูก และก็ไม่มีน้ำสะอาดให้กินด้วย

นอกจากนี้ ฝ่ายชายยังไม่ค่อยอาบน้ำ ทำงานในไร่ในฟาร์ม กลับมาก็ถอดชุดแล้วนอนเลย ตนทนนอนด้วยไม่ได้ ต้องไปนอนที่โซฟา ฝ่ายชายก็ไปฟ้องเอเจนซีว่าตนไม่ยอมนอนด้วย ซึ่งตนก็อธิบายปัญหาให้ฟัง แต่เอเจนซีก็ไม่ช่วยเหลืออะไร

ล่าสุด เมื่อวันที่ 15 กันยายน ตนสบโอกาสตอนที่แม่ฝ่ายชายเข้าไปในไร่ข้าวโพด ตนจึงหาทางหนีโดยต้องแอบเดินออกมาตามไร่ข้าวโพด ซึ่งเป็นขั้นบันไดที่มีเหวลึก ตอนนั้นรู้สึกเสี่ยงตาย แต่ถ้าอยู่ก็ไม่มีอะไร ดีจึงเดินมาเรื่อยๆ ใช้เวลาเดินกว่าครึ่งวัน ก็มาพบกับชุมชน จึงขอให้ชาวบ้านช่วยมาส่งในเมือง และต่อรถบัส 4 ชั่วโมงมาที่สนามบินเพื่อรอเที่ยวบินกลับกรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตาม ตอนที่ตนอาศัยอยู่กับฝ่ายชาย ไม่ได้มีการทำร้ายร่างกาย แต่ถ้าหากทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็จะโดนต่อว่าพูดจาไม่ดี ทั้งนี้ตนก็รู้มาว่า มีกรณีของผู้หญิงคนอื่นที่หาคู่ผ่านเอเจนซีรายเดียวกันนี้ แต่เมื่อไปใช้ชีวิตที่ประเทศจีนแล้ว ถูกฝ่ายชายทำร้ายร่างกาย

เมื่อตนเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว จึงได้ติดต่อหาเอเจนซี เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ปรากฏว่าเอเจนซีบังคับให้ตนกลับไป เพราะไม่เช่นนั้นจะต้องจ่ายค่าปรับให้กับฝ่ายชาย 350,000 บาท เพราะฝ่ายชายได้ให้เงินค่าสินสอดมาแล้ว

ขณะที่ฝ่ายชายก็พยายามติดต่อมาหาตน และบอกว่า ทำไมถึงต้องหนี เพราะให้เงินค่าสินสอดไป 8 แสนบาท พอที่จะเลี้ยงดูทั้งครอบครัวได้แล้ว ยังไม่พอหรอ ทำให้ตนเพิ่งรู้ว่าเงินที่ฝ่ายชายให้มา เอเจนซีเป็นคนเก็บไว้ และให้ตนมาแค่ 9 หมื่นบาท

จนถึงขณะนี้ ตนก็ถูกเอเจนซีตามมาคุกคามและข่มขู่คนในครอบครัวว่า ถ้าไม่จ่ายค่าปรับก็จะฟ้องและบังคับให้เซ็นสัญญาเงินกู้ วันนี้จึงมาร้องเรียนกับเพจสายไหมต้องรอด เพื่อให้พาเข้าแจ้งความเอาผิดกับเอเจนซี และอยากฝากเตือนผู้หญิงที่กำลังคิดจะหาแฟนเป็นคนจีนว่าให้ระวังด้วย

ด้านนายเอกภพ กล่าวว่า กรณีนี้จะต้องมีการตรวจสอบว่าเข้าข่ายการค้ามนุษย์หรือไม่ เพราะทางเอเจนซีได้รับเงินจากชายจีนมา 8 แสนบาท เพื่อทำการส่งหญิงไทยไป ซึ่งทีมงานจะพาผู้เสียหายไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ และฝากถึงผู้หญิงไทยที่อยากมีสามีเป็นคนจีนว่าให้ระวัง เพราะเคยมีเคสที่ตนไปช่วยเหลือมาได้ เป็นหญิงชาวไทยที่ไปแต่งงานกับชายชาวจีน แต่มีลูกเป็นผู้หญิง จึงถูกทำร้ายทุบตี เพราะครอบครัวฝ่ายชายต้องการให้ได้ลูกชาย

一名年轻女子抱怨说,她被婚介所欺骗,嫁给了一名不符合她期望的中国男子。逃回泰国时被跟踪、威胁、骚扰
9 小时前

一名24岁的前接待员女孩前来投诉被婚介所欺骗后被骗嫁给一个自称是商人的中国男人。但事实证明,当我们到达时不得不在山里过着艰苦的生活,直到不得不独自逃亡回来。还发现该机构收取了超过70万泰铢的嫁妆。

เอเจนซีโต้ ฝ่ายหญิงใส่สีตีไข่ 80% แจงหนุ่มจีนโอนเงิน 8 หมื่นหยวน หรือ 3.6 แสนบาท ไม่ใช่ 8 แสน
6 ชั่วโมงที่แล้ว

จากกรณีสาววัย 24 ร้อง ถูกเอเจนซีหาคู่หลอกแต่งงานกับชายชาวจีน อ้างเป็นนักธุรกิจ แต่เมื่อไปถึงต้องไปอยู่อย่างลำบากบนภูเขา จนทนไม่ไหวหนีกลับไทย ก็ถูกตามข่มขู่-คุกคาม ซ้ำพบว่าเอเจนซีฮุบเงินค่าสินสอดไปกว่า 7 แสนบาท

ทีมข่าวได้พูดคุยกับคุณหญิง เอเจนซี อายุ 30 ปี ที่ถูกกล่าวหา บอกว่า สิ่งที่น้องเล่ามีความจริงบางส่วน แต่ที่เหลือ ใส่สีตีไข่ 80%

โดยคุณหญิง โต้กลับว่า เงินที่ฝ่ายชายโอนให้ตนเอง คือเงินจำนวน 8 หมื่นหยวน หรือ ประมาณ 3.6 แสนบาท โดยแบ่งเป็นค่าใช่จ่ายเดินเอกสาร ตั๋วเครื่องบิน ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายต่างๆ ของน้อง 5-6 หมื่นบาท, เงินสินสอดคือ 1 แสนบาท เหลืออีก 2 แสนคือเงินที่ต้องไปซื้อทองก่อนวันแต่งงาน

คุณหญิงเล่าว่า ตนเองแนะนำหญิงไทยให้แต่งงานกับชาวจีนมาประมาณ 12 คนแล้วในช่วงระยะเวลา 2 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่อยู่ในหมู่บ้านที่รู้จักกัน แล้วเห็นว่าตนเองแต่งงานกับชาวจีนแล้วได้ดี ก็เลยให้แนะนำ

ซึ่งเคสของน้องแบ๋ม ตนเองก็แนะนำไปให้กับฝ่ายชายที่รู้จักกัน ซึ่งอยู่ที่เมืองผิงเหลียง มณฑลกานซู ยืนยันว่าได้แจ้งมาตลอดว่า ฝ่ายชายทำงานฟาร์มวัว และมีอพาร์ตเมนต์อยู่ในเมือง ซึ่งฝ่ายหญิงก็ทราบมาโดยตลอด เพราะเคยมีการวิดีโอคอลคุยกับผู้ชายตั้งแต่ก่อนเดินทางไปแล้ว และยืนยันไม่เคยบอกว่าเป็นนักธุรกิจ บอกแค่ว่า เดี๋ยวเคลียร์งานที่ฟาร์มเสร็จ ปีหน้าจะย้ายไปอยู่คอนโด

แต่เมื่อเดินทางไปถึงฝ่ายหญิงกลับเหวี่ยงใส่ฝ่ายชาย ทั้งเรื่องไม่ได้ดื่มน้ำขวด และอีกหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งตนเองก็พยายามสอบถามว่าโอเคไหม และเป็นคนกลางช่วยพูดคุยให้ตลอด ซึ่งหากไม่โอเคก็ยังไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนสมรส เพราะเดี๋ยวจะวุ่นวายเรื่องเอกสาร แต่ฝ่ายคุณแบ๋มบอกว่า โอเค ครอบครัวเขาดีกับหนู

จากนั้ยเลยนั่งรถไปเมืองใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 400 กิโลเมตร เพื่อจดทะเบียน แต่น้องเมารถ เลยวีนฝ่ายชาย ฝ่ายชายถามว่าไม่โอเคที่จะจดทะเบียนหรอ ไม่โอเคให้บอกตน น้องบอกว่า ไม่เป็นไร แค่เมารถ

แต่หลังจากนั้น เมื่อคุณหญิงโอนเงินค่าสินสอดไปให้ครบ น้องบอกว่า จะกลับ อยู่ไม่ได้ ก็เลยถามว่า ทำไมก่อนจะจดทะเบียนอยู่ได้

ตอนที่น้องบอกว่าจะกลับ ตนบอกว่า ถ้าอยู่ไม่ได้ ก็ไปหย่าแล้วค่อยกลับ และขอเวลา 2 วัน ให้แฟนตนกลับมาแล้วจะขึ้นไปคุยให้ ไม่ใช่ไม่ให้กลับ แต่มาตามขั้นตอน เพราะตอลมาแต่งงาน ตอนกลับก็ต้องหย่าตามขั้นตอน หลังจากนั้นติดต่อไม่ได้ มารู้อีกทีคือน้องหนีไปแล้ว

ทั้งนี้ ตนเองไม่กังวล ที่ฝ่ายหญิงไปร้องกับทางสายไหมต้องรอด เพราะมีหลักฐานทุกอย่าง และมีพยานด้วย

เมื่อถามว่าแล้วคุณคุณหญิงจะได้อะไรจากการแนะนำให้ไปแต่งงานที่จีน เจ้าตัวอธิบายว่า เป็นธรรมเนียมของบ้านแฟนตน ว่าถ้าแนะนำคู่ให้ จะมีค่าแนะนำให้ 1 หมื่นหยวน หรือประมาณ 4.6 หมื่นบาท

ทั้งนี้ ผู้ชายขอค่าสินสอดคืนและค่าใช้จ่ายคืน 160,000 บาท ส่วนค่าโทรศัพท์ และค่าเสื้อผ้าที่ซื้อให้น้องผู้หญิง ผู้ชายบอกไม่เอา

ตนเองอยากบอกกับน้องว่า เรื่องหย่าไม่ต้องกลัวและไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้กลับมา ให้เพจสายไหมต้องรอด หรือใครพาไปก็ได้ และขอให้เอาโทรศัพท์ของคุณหญิงมาคืนด้วย

ส่วนคนที่น้องอ้างว่าส่งไปแล้วถูกฝ่ายชายทำร้าย ก็เป็นเรื่องผัวเมียทะเลาะกัน ซึ่งก็มีบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าตีจะเป็นจะตาย ซึ่งคนนั้นก็ขอหย่า แล้วก็มีการตกลงกันผ่านตำรวจตามขั้นตอน

6 小时前
来自一名24岁女孩抱怨自己被婚介所欺骗嫁给一名中国男子的案例。自称是商人但当他到达后,却不得不在山里过着艰苦的生活。直到他实在受不了,逃回泰国。被跟踪、恐吓、骚扰还发现该机构收取了超过70万泰铢的嫁妆。

新闻团队采访了被指控的30岁经纪人Khunying

2024.9.15 Two Chinese nationals were arrested on Saturday at a motorway rest stop in Chachoengsao province for attempted theft and illegal entry into Thailand, leading to an investigation into the involvement of a larger call-centre scam network.

Two Chinese nationals arrested over involvement in thefts from cars
SUNDAY, SEPTEMBER 15, 2024

Their arrests in Chachoengsao point to the role of a call-centre scam network

Two Chinese nationals were arrested on Saturday at a motorway rest stop in Chachoengsao province for attempted theft and illegal entry into Thailand, leading to an investigation into the involvement of a larger call-centre scam network.

The arrests of Zhang Jin, 38, and Zheng Hong, 31, by the Highway Police and Chachoengsao police followed a series of thefts at the Bang Pakong motorway rest stop, where a gang had been breaking into parked cars, particularly targeting credit cards.

Police obtained crucial evidence from CCTV footage at the scene, and learned about their modus operandi. Police said the gang operated systematically with members assigned specific roles. Their method involved lurking near parking spaces at the rest stop. When victims parked and prepared to leave their cars, one group would use a signal jammer to block the remote lock signal, preventing the car from locking.

Another group would then distract the victim by pretending to talk on the phone nearby, ensuring the driver did not notice the car was not locked. Once the driver left the area, a third group would move in to steal valuables from inside the car.

Police set up surveillance around the area and spotted the two arrested suspects at the crime scene. After closely monitoring their movements, officers arrested the pair as they attempted to break into two cars. When police searched their room, they found equipment used in the thefts, which was seized as evidence.

Investigation revealed that before their arrest, a 20-year-old Thai woman, who was Zheng Hong’s girlfriend, had dropped them off at the motorway rest stop and driven away. Police later expanded the investigation and searched her condominium on Rama 9 Road. Some quantity of ketamine was reportedly found in her room, leading to her arrest.

During questioning, Zhang Jin denied the accusations, while Zheng Hong confessed. Although Zheng Hong’s girlfriend was not yet found to be involved in the thefts, she was charged with drug possession.

Following the arrests, authorities investigated how the stolen credit cards were used, and found that the cards had been swiped through a payment machine. It is suspected that the machine was linked to a merchant or location abroad. This aligns with the ongoing investigation, which suggests the group is connected to a larger call-centre scam network that has been defrauding people.

Authorities are continuing to expand the investigation.

两名中国公民因涉嫌汽车盗窃被捕

他们在北柳府被捕,表明呼叫中心诈骗网络在其中发挥了作用

两名中国公民于周六在北柳府的一个高速公路休息站因企图盗窃和非法入境泰国而被捕,此举引发了对更大规模呼叫中心诈骗网络参与情况的调查。

公路警察和北柳警方逮捕了 38 岁的张进(Zhang Jin)和 31 岁的郑红(Zheng Hong),此前,邦巴空高速公路休息站发生了一系列盗窃案,当时一伙盗窃团伙破门抢劫停放的汽车,尤其是信用卡。

警方从现场的闭路电视录像中获得了关键证据,并了解了他们的作案手法。警方表示,该团伙有条不紊地进行作案,成员被分配了特定的角色。他们的作案手法包括潜伏在休息站的停车位附近。当受害者停车并准备离开汽车时,其中一伙人会使用信号干扰器屏蔽遥控锁信号,使汽车无法锁上。

另一伙人随后会在附近假装打电话,分散受害者的注意力,确保司机没有注意到车子没有锁。一旦司机离开该区域,第三伙人就会进入车内偷走贵重物品。

警方在该地区周围设置了监视点,并在犯罪现场发现了两名被捕嫌疑人。在密切监视他们的行动后,警察在他们试图闯入两辆汽车时逮捕了他们。当警察搜查他们的房间时,发现了盗窃所用的设备,并作为证据被没收。

调查显示,在两人被捕前,一名20岁的泰国女子(郑红的女友)将两人送到高速公路休息站后驾车离开。警方随后扩大调查范围,搜查了郑红位于拉玛九路的公寓。据称,警方在其房间内发现了一定数量的氯胺酮,并将她逮捕。

在审讯中,张进否认了这些指控,而郑红则供认不讳。尽管郑红的女友尚未被认定参与盗窃,但她被指控持有毒品。

逮捕嫌疑人后,当局调查了被盗信用卡的使用情况,发现这些卡是通过付款机刷卡的。怀疑这台付款机与国外的商家或地点有关联。这与正在进行的调查结果一致,这表明该团伙与一个更大的诈骗呼叫中心网络有关。

当局正在继续扩大调查。

THAI POLICE BUST CHINESE DUO USING SIGNAL JAMMERS FOR CAR THIEVES

CHACHOENGSAO — Two Chinese men commit cunning theft using a remote signal jamming device at motorway rest stops. Police caught them red-handed and discovered a method of draining money from credit cards linked to call center gangs.

Chachoengsao police received multiple reports of thefts at the Bang Pakong motorway rest area, where cars were broken into and valuables, especially credit cards, were stolen from inside. This caused significant distress to motorists using this route.

Bang Pakong police in Chachoengsao province coordinated with central investigation police to urgently track down the criminals. They found crucial leads from CCTV footage at each crime scene.

The suspects appeared to be Chinese and often used similar crime patterns, operating as an organized group with clear role division between Mr. Zhang, 38, and Mr. Zheng, 31.

On September 15, they spread out to observe the suspects at the crime scene and jointly arrested the two Chinese suspects at the motorway rest area in Khao Din subdistrict, Bang Pakong district, Chachoengsao province.

The officials, aware of the criminals’ clear modus operandi, spread out to observe the area. When the two appeared, the police waited for them to attempt to break into two cars before revealing themselves and making the arrest.

They then searched their room and found equipment used for the crimes, including 1 remote signal jammer, 3 mobile phones, 1 shoulder bag. They also seized 1 car key and 1 car as evidence.

Police bring two Chinese suspects to their residence to search for equipment used in the crimes. They discover 1 remote signal jammer, 3 mobile phones, and 1 shoulder bag. They also seize 1 car key and 1 car as evidence.

Both were charged with “joint attempted theft using a vehicle” and “being an alien entering and residing in the Kingdom without permission”. Zhang denied the charges, while Zheng confessed. They were then handed over to the Crime Suppression Division investigators.

The investigation revealed that this gang would lurk near parking spaces at motorway rest areas. When they saw a victim park and about to exit their car, the first group of thieves would use a signal jammer to block the remote control signal, preventing the car from locking.

Another group would then approach to distract the victim by talking on the phone nearby, so the victim wouldn’t notice their car was unlocked. Once the victim walked away from the car, another group of criminals lying in wait would open the car door and steal the valuables inside.

Furthermore, it was discovered that a Thai woman, later identified as Ms. Ketfa Theeranat, aged 20, who is Mr. Zheng’s girlfriend, had been in the same car as the suspects before being dropped off at the motorway rest area.

When searching Ms. Ketfa Theeranat’s room at a condominium in the Rama 9 area, ketamine was found. She was additionally arrested on charges of “possession of psychotropic substances (ketamine) without permission” before being sent to Makkasan Police Station.

Meanwhile, officials discovered the method the suspects used to withdraw money from the victims’ credit cards. They used card readers, which are suspected to be linked to stores or usage areas abroad. This aligns with investigative information suggesting that this criminal group might be connected to call center gangs that have defrauded money from many networks.

The case will be further investigated to expand on these findings.

北柳府——两名中国男子在高速公路休息站使用遥控信号干扰装置实施狡猾盗窃。警方当场抓获了他们,并发现了一种从与呼叫中心团伙有关的信用卡中盗取资金的方法。

北柳府警方接到多起在邦巴空高速公路休息区发生盗窃的报告,车辆被砸烂,车内贵重物品(尤其是信用卡)被盗。这给使用此路线的驾车者带来了极大的困扰。

北柳府邦巴功警方与中央调查警察协调,紧急追捕罪犯。他们从每个犯罪现场的闭路电视录像中找到了关键线索。

这些犯罪嫌疑人似乎是中国人,他们经常使用相似的作案手法,是一个有组织的团伙,38 岁的张和 31 岁的郑之间分工明确。

此外,警方还发现,一名泰国女子,后被确认为郑的女友,现年 20 岁的 Ketfa Theeranat 女士,在被送到高速公路休息区之前,曾与嫌疑人乘坐同一辆车。

在对 Ketfa Theeranat 女士位于 Rama 9 区公寓的房间进行搜查时,警方发现了氯胺酮。她还因“未经许可持有精神药物(氯胺酮)”的指控被逮捕,随后被送往 Makkasan 警察局。

2024.9.14 สืบเนื่องจากภรรยาของผู้เสียหายได้เปิดโทรศัพท์ของผู้เสียหาย พบข้อความไลน์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พบข้อความว่า “มาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าตามนโยบายของรัฐบาล” และมีรายละเอียดในข้อความดังกล่าวพร้อมแจ้งว่าได้ทำการลงทะเบียนรับสิทธิ์ช่วยเหลือค่าไฟฟ้าและคืนเงินค่ามิเตอร์หรือยัง จากนั้นคนร้ายได้ให้ภรรยาของผู้เสียหายทำรายการตามที่คนร้ายได้ส่งข้อมูลมาทางไลน์ ซึ่งคนร้ายได้ส่งลิงก์และให้กรอกข้อมูลตามที่กำหนด ภรรยาของผู้เสียหายจึงได้ทำรายการตามที่คนร้ายได้บอกทุกขั้นตอน จนเสร็จสิ้น โดยคนร้ายได้ให้ภรรยาของผู้เสียหายสแกนใบหน้าของผู้เสียหาย ภรรยาของผู้เสียหายจึงได้ให้ผู้เสียหายทำการสแกนใบหน้าจำนวน 2 ครั้ง จากนั้นคนร้ายแจ้งว่าเรียบร้อยแล้วและได้ทำการวางสายโทรศัพท์ไป จนกระทั่งผู้เสียหายได้มาทำการถอนเงินที่ตู้เอทีเอ็ม ปรากฎว่าเงินในบัญชีธนาคารของ ผู้เสียหายได้ถูกโอนไปเข้าบัญชีธนาคารคนร้าย จำนวนเงิน 228,700 บาท

ตำรวจไซเบอร์รวบเพิ่มแก๊งอ้างการไฟฟ้า หลอกสแกนหน้า สูญเงินกว่าสองแสนบาท

ตำรวจไซเบอร์รวบเพิ่มแก๊งอ้างการไฟฟ้า

หลอกสแกนหน้า สูญเงินกว่าสองแสนบาท

.

สืบเนื่องจากภรรยาของผู้เสียหายได้เปิดโทรศัพท์ของผู้เสียหาย พบข้อความไลน์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พบข้อความว่า “มาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าตามนโยบายของรัฐบาล” และมีรายละเอียดในข้อความดังกล่าวพร้อมแจ้งว่าได้ทำการลงทะเบียนรับสิทธิ์ช่วยเหลือค่าไฟฟ้าและคืนเงินค่ามิเตอร์หรือยัง จากนั้นคนร้ายได้ให้ภรรยาของผู้เสียหายทำรายการตามที่คนร้ายได้ส่งข้อมูลมาทางไลน์ ซึ่งคนร้ายได้ส่งลิงก์และให้กรอกข้อมูลตามที่กำหนด ภรรยาของผู้เสียหายจึงได้ทำรายการตามที่คนร้ายได้บอกทุกขั้นตอน จนเสร็จสิ้น โดยคนร้ายได้ให้ภรรยาของผู้เสียหายสแกนใบหน้าของผู้เสียหาย ภรรยาของผู้เสียหายจึงได้ให้ผู้เสียหายทำการสแกนใบหน้าจำนวน 2 ครั้ง จากนั้นคนร้ายแจ้งว่าเรียบร้อยแล้วและได้ทำการวางสายโทรศัพท์ไป จนกระทั่งผู้เสียหายได้มาทำการถอนเงินที่ตู้เอทีเอ็ม ปรากฎว่าเงินในบัญชีธนาคารของ ผู้เสียหายได้ถูกโอนไปเข้าบัญชีธนาคารคนร้าย จำนวนเงิน 228,700 บาท

.

ซึ่งต่อมา กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ได้จับกุมหนึ่งในขบวนการแอบอ้างการไฟฟ้า หลอกภรรยาให้สแกนหน้าสามี จนสูญเงินไปกว่าสองแสนบาท ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปเมื่อวันที่ 16 ส.ค.67 พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 กวาดล้างจับกุมขบวนการหลอกเป็นการไฟฟ้าติดตั้งแอปดูดเงินอย่างต่อเนื่อง

.

ต่อมาวันที่ 12 ก.ย.67 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 นำโดย พ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3, พ.ต.ท.วีระศักดิ์ แก้วเนียม รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3, พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ, พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า น.ส.มนันญาฯ อายุ 33 ปี ชาว อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พักอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าหลังหนึ่ง ในซอยเจ้าพ่อกวนอู หมู่ 1 ต.บ้านช้าง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี

.

จึงทำการวางแผนเข้าจับกุมจนสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดมหาสารคาม ที่ จ.220/2567 ลง 8 ส.ค.67 ข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์ของผู้อื่นโดยการปลอมตัวเป็นผู้รับ ร่วมกันโดยทุจริตนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จทั้งหมดหรือบางส่วนโดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” และหมายจับของศาลจังหวัดเกาะสมุย ที่ จ.92/2567 ลง 19 ก.ค.67 ข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์ของผู้อื่นโดยการปลอมตัวเป็นผู้รับ ร่วมกันโดยทุจริตนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จทั้งหมดหรือบางส่วนโดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา” และมีความเชื่อมโยงกับคดีในพื้นที่ สภ.ชนบท และ สภ.บ่อผุด โดยมีการเปิดบัญชี รวม 3 ธนาคาร มูลค่าความเสียหายรวมทุกพื้นที่ กว่า 2 ล้านบาท โดยจับกุมได้ขณะยืนอยู่บริเวณริมถนนในซอยศาลเจ้าพ่อกวนอู หมู่ 1 ต.บ้านช้าง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี นำส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สอท.3 มาดำเนินคดีได้ในที่สุด

网络警察逮捕了一个冒充电力部门的团伙,欺骗妻子扫描丈夫的脸直到损失超过二十万泰铢

受害人的妻子打开了受害人的手机,在省电力局专线上发现一条信息,上面写着“按照政府政策办理电费帮助措施”,信息里有详细信息,包括您是否登记了电费帮助和退电表费用。歹徒随后通过Line发送的信息,让受害人的妻子完成交易。犯罪分子发送了一个链接并要求填写所需信息。随后,受害人的妻子按照犯罪分子讲述的每一步完成了交易。犯罪分子让受害人的妻子扫描了受害人的面部。受害人的妻子随后要求受害人进行面部扫描两次后,歹徒告知她已经完成并挂断电话。直到受害人来到ATM机取钱。原来,受害人已将228,700泰铢银行账户里的钱转入犯罪分子的银行账户。

2024.9.14 ตำรวจไซเบอร์บุกรวบ “แม่น้อง กัปตันนน” และ “เจ้าแม่เงินกู้สะเดา” เงินกู้ดอกโหดจังหวัดสงขลา ดอกเบี้ยกว่าร้อยละ 60 ต่อเดือน

ตำรวจไซเบอร์บุกรวบ “แม่น้อง กัปตันนน” และ “เจ้าแม่เงินกู้สะเดา” เงินกู้ดอกโหดจังหวัดสงขลา ดอกเบี้ยกว่าร้อยละ 60 ต่อเดือน

ตำรวจไซเบอร์บุกรวบ “แม่น้อง กัปตันนน” และ “เจ้าแม่เงินกู้สะเดา”

เงินกู้ดอกโหดจังหวัดสงขลา ดอกเบี้ยกว่าร้อยละ 60 ต่อเดือน

.

สืบเนื่องจาก พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ตำรวจไซเบอร์ระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา, กลุ่มเจ้าหนี้ที่มีพฤติการณ์ใช้ความรุนแรงในการทวงหนี้ และการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกรูปแบบเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาขนจากนายทุนปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยโหด ตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

.

พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 จึงได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.5 ลงพื้นที่ออกสืบสวนหาข่าว จนพบเบาะแสการกระทำผิดบนสื่อโซเชียล ว่ามีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “Kanyapad Rodmeteesopon” ได้ปล่อยเงินกู้เรียกเก็บดอกเบี้ยร้อยละ 30 ต่อเดือน โดยมีพฤติกรรมโพสต์ปล่อยเงินกู้นอกระบบในแพลตฟอร์ม Facebook โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย

.

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนจนสามารถพิสูจน์ทราบตัวตนและที่พักอาศัยของเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าว ว่าอยู่ในพื้นที่ ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลจังหวัดนาทวีออกหมายค้นสถานที่เป้าหมายได้สำเร็จ

.

กระทั่ง เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2567 เวลาประมาณ 08.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้นำหมายค้นศาลจังหวัดนาทวี ที่ 85/2567 ลง 10 ก.ย.2567 ให้เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่ ม.2 ซอยริมด่าน 2 ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ตั้งแต่เวลา 06.30 น. ติดต่อกันจนถึงเวลา 18.00 น. เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบ นางสาวกัญญาภัทร แสดงตัวเป็นเจ้าของบ้าน ผลการตรวจค้น พบเอกสารหลักฐานการจัดให้มีการประกอบสินเชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 3 ฉบับ อยู่ภายในห้องนอนของบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจึงได้ทำการตรวจยึดสิ่งของที่ใช้ในการกระทำความผิดไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งแจ้งข้อกล่าวหาให้ น.ส.กัญญาภัทรฯ ทราบว่า การกระทำดังกล่าวมีความผิดฐาน “ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ลงวันที่ 26 มกราคม 2515 ข้อ 5 16 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5 แห่งประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 เรื่องสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 ข้อ 1” เบื้องต้น น.ส.กัญญภัทรฯ รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา นำตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.สะเดา เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

.

ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.5 ได้ตรวจพบผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “แม่น้อง กัปตันนน” ได้ปล่อยเงินกู้เรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 2 บาท ต่อวัน หรือร้อยละ 60 บาทต่อเดือน อย่างเช่น กู้เงินต้น จำนวน 3,000 บาท ต้องจ่ายเงินวันละ 250 บาท เป็นเวลา 20 วัน มีพฤติกรรมข่มขู่และใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อว่าลูกหนี้

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนจนสามารถพิสูจน์ทราบตัวตนและที่พักอาศัยของเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าว ว่าอยู่ในพื้นที่ ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลจังหวัดสงขลาออกหมายค้นสถานที่เป้าหมายได้สำเร็จ

.

กระทั่ง เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2567 เวลาประมาณ 07.05 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดสงขลา ที่ ค.253/2567 ลงวันที่ 11 ก.ย.2567 เข้าดำเนินการตรวจค้น หลังหนึ่ง ในซอยปลักวา 1 ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ผลการตรวจค้นพบข้อมูลการกระทำความผิดในโทรศัพท์มือถือของ น.ส.ลักษณพรฯ จากการสอบถาม น.ส.ลักษณพรฯ รับว่าตนเองได้ปล่อยเงินกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจริง และมีการโพสต์ชักชวนให้ลูกค้าเข้ามากู้ยืมเงินทางออนไลน์จริง และตนเองไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อกล่าวหา “1.ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยการจัดหามาซึ่งเงินทุน แล้วให้ผู้อื่นกู้ยืมโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.ให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด” จากนั้น จึงได้ควบคุมตัวพร้อมของกลางมายัง และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.หาดใหญ่ ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

网络警察突袭逮捕“农船长母亲”和“沙道高利贷者”
宋卡府的高息贷款每月利率超过60%

泰国皇家武装警察部队总司令瓦塔那空班查 (Wattanakornbancha) 已下令网络警察扫荡并逮捕与非法债务有关的犯罪分子。尤其是债权人索取超过利率的利息,采用暴力催债行为。打击一切形式的科技犯罪,以减轻人民因资本家高息贷款而遭受的苦难。

2024.9.9 แกะรอยแก๊งคอลเซนเตอร์ทุนจีนเทา บุกเมืองพญาตองซู เมียนมา หลังพบคนจีนวัย 29 ปี “ลากตรวนหนีตาย”เข้ามาฝั่งไทย อ้างสมัครใจแต่ถูกบังคับให้ทำงานอื่นจนถูกทำโทษ ฝ่ายความมั่นคงชี้คนจีนทะลักด่านเจดีย์สามองค์

แกะรอยคอลเซนเตอร์พญาตองซู “ลากตรวนหนีตาย”

แกะรอยแก๊งคอลเซนเตอร์ทุนจีนเทา บุกเมืองพญาตองซู เมียนมา หลังพบคนจีนวัย 29 ปี “ลากตรวนหนีตาย”เข้ามาฝั่งไทย อ้างสมัครใจแต่ถูกบังคับให้ทำงานอื่นจนถูกทำโทษ ฝ่ายความมั่นคงชี้คนจีนทะลักด่านเจดีย์สามองค์

ชายชาวจีน ในสภาพข้อเท้า 2 ข้างถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน ถูกพบช่วงเช้ามืดวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ในพื้นที่ฝั่งไทย ใกล้ด่านเจดีย์สามองค์ ชายแดนไทยเมียนมา อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทีมข่าวลงพื้นที่หาข้อเท็จจริง

หนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า เห็นชายคนนี้นั่งอยู่หน้าปากซอยเกษตร 5 ตั้งแต่เช้ามืด แต่คาดว่าเดินออกมาจากซอยพานิชย์ 9 ซึ่งอยู่อีกฝากหนึ่งของถนนท้ายซอยพานิชย์ 9 เป็นจุดที่สามารถเดินข้ามแดนไปบ้านเจดีย์ล่าง เมืองพญาตองซู ประเทศเมียนมาได้

ทีมข่าวเดินทางไปที่เมืองพญาตองซู พบว่าจุดที่เชื่อมกับท้ายซอยพานิชย์ 9 มีกาสิโนอยู่อย่างน้อย 3 แห่ง ซึ่งคนจีนที่ลากตรวนหนีเข้ามาอาจจะมาจากที่ใดที่หนึ่งใน 3 แห่งนี้

กาสิโนแห่งแรก ทีมข่าวพบคนจีนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ด้านนอกตัวอาคาร ส่วนที่นี่เป็นกาสิโน อยู่ใกล้กับชายแดนไทยมากที่สุด ติดกับท้ายซอยพานิชย์ 9 ของฝั่งไทย

ป้ายด้านหน้า มีข้อความภาษาไทยเมื่อเข้าไปด้านในพบว่า นักพนันส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมา แต่พนักงานเป็นคนจีน

ไม่ไกลจากกาสิโนทั้ง 3 แห่งยังมีอาคารชุดอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งมองเห็นได้จากฝั่งไทยคนในพื้นที่บอกว่าเป็นแหล่งสแกมเมอร์ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ในปีนี้

มีข้อมูลว่า คนจีนที่พบลากตรวนหนีเข้ามาในประเทศไทยรายนี้ เดินทางจากประเทศจีน ไปที่ประเทศลาว ก่อนเดินทางต่อโดยเครื่องบินจากนครหลวงเวียงจันทน์ มาที่สนามบินสุวรรณภูมิ จากนั้นนั่งรถยนต์ต่อมา จ.กาญจนบุรี ก่อนลักลอบเดินทางผ่านช่องทางธรรมชาติไปที่เมืองพญาตองซู

พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี ระบุว่า จากการสอบสวนพบว่า ชายชาวจีนอายุ 29 ปี เดินทางไปทำงานด้วยความสมัครใจ แต่เมื่อถึงที่หมายกลับถูกบังคับให้ทำงานที่ไม่อยากทำ จึงปฏิเสธจนถูกทำโทษ

ขณะนี้ถูกดำเนินคดีข้อหาหลบหนีเข้าเมือง และถูกส่งต่อไปให้ตรวจคนเข้าเมืองกาญจนบุรี ส่งกลับประเทศต้นทาง

การเคลื่อนย้ายของชาวจีนมาที่พญาตองซู ถูกมองว่าอาจเป็นผลจากกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) ประกาศเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ให้กลุ่มธุรกิจออน ไลน์ และผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายที่อยู่ในรัฐกะเหรี่ยง และเมืองเมียวดี ออกจากพื้นที่ภายในวันที่ 31 ต.ค.นี้

เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เก็บข้อมูลพบคนจีนเดินทางมุ่งหน้าไปด่านเจดีย์สามองค์จำนวนมาก ตำรวจในพื้นที่พบคนจีนไม่มีเอกสารแสดงตัวตนมุ่งหน้าไปด่านเจดีย์สามองค์หลายครั้ง บางคนพกอุปกรณ์สื่อสาร และอุปกรณ์ไอทีไปกับสัมภาระด้วย

ฝั่งเมืองพญาตองซู ประเทศเมียนมา มีรายงาน คนจีนกว้านซื้อที่ดิน และเช่าที่อยู่ระยะยาว บริเวณริมถนนสายหลักหน้าด่านเจดีย์สามองค์ ไปจนถึงทะเลสาบอูโลน ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 1 กิโลเมตร

ส่วนถนนศรียาดานา ฝั่งเมียนมา ซึ่งขนานไปกับชายแดนไทย พบมีทั้งบ่อนขนาดเล็ก ไปจนถึงกาสิโนขนาดใหญ่ ทั้งที่มีอยู่แล้ว และกำลังก่อสร้างจำนวนมาก

หลายแห่งมีข้อมูลว่า เป็นทุนจีนที่ย้ายฐานมาจากเมืองเมียวดี ติดกับชายแดนจ.ตาก และเมืองสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีรายงานการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการบังคับใช้แรงงานอย่างต่อเนื่อง

แม้ที่ผ่านมายังไม่เคยมีรายงานการช่วยเหลือ ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในเมืองพญาตองซู แต่การปรากฏตัวของคนจีนถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการย้ายฐานของธุรกิจจีนสีเทามายังเมืองพญาตองซู อย่างที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ มาก่อนหน้านี้

中國男偷渡緬甸打工拒詐騙 慘遭折磨戴腳鐐逃入泰國

一名29歲的中國男子從緬甸浦亞棟素城詐騙窩點出逃,戴著腳鐐於近日深夜在北碧府三塔檢查站附近被發現。他聲稱是自願到緬甸,但在那被迫從事不願做的工作,他拒絕遭懲罰,在遭受種種虐待後決心逃離。

有目擊者透露,8月29日淩晨後,該名男子在泰國邊境Soi Kaset 5區域被發現,估計他是從靠近緬甸的帕尼9巷那邊跑出來的,而臨近Soi Kaset 5區域的緬甸邊境地帶有至少3個賭場,這些賭場多數是中國人運營。第一家賭場是最靠近泰國邊境的,和泰國這邊的帕尼9巷相連。賭場前面是泰國文字,但賭徒大多數來自緬甸,而員工都是中國人。

距離3個賭場不遠的另一棟樓房,當地人說這是今年新設立的詐騙窩點,從泰國這邊就可以望得見這棟房屋。

根據該名男子的說法,他是自願到緬甸,從中國出發抵達老撾萬象,然後轉機到素汪納普機場,再乘車前往北碧府,最後偷渡進入緬甸浦亞棟素城,然而卻在那里被逼從事不願意做的工作,拒絕後遭受非人懲罰。

他不堪忍受非人待遇,戴著腳鐐逃離,歷經艱險穿越緬甸邊境,潛逃到泰國境內。現在他已經被轉送北碧府移民局,等待遣返回國。

有消息指出,這群中國人之所以轉移到浦亞棟素城,估計是因為緬甸克倫民族聯盟要求從事線上業務以及非法入境人員全部於10月31日之前離開該區域。從維穩部門工作人員收集的資料發現,有大量中國人直奔三塔關,該地區警方多次遇到沒有身分證件的中國人,有的攜帶通訊設備、IT設備和行李一起。

有報導稱,有不少中國人在浦亞棟素城大肆購買土地,在三塔檢查站前的主幹道長期租賃住宅,這個地方距離泰國邊境僅約1公里,可能是泰國灰產從妙瓦底轉移的一個訊號。

2024.8.28 ตำรวจไซเบอร์รวบเครือข่ายอ้างชื่อธนาคารดังหลอกลงทุน โวโอนพันเดียวรับกำไร 3 หมื่น สุดท้ายเหยื่อโดนไป 1.1 ล้าน

ตำรวจไซเบอร์รวบเครือข่ายอ้างชื่อธนาคารดังหลอกลงทุน
โวโอนพันเดียวรับกำไร 3 หมื่น สุดท้ายเหยื่อโดนไป 1.1 ล้าน
.
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 9 ส.ค.66 ได้มีคนแปลกหน้าทักไลน์พร้อมแนบลิงก์ส่งให้ผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายกดลิงก์พบว่าเป็นโฆษณาชักชวนลงทุนโดยอ้างบริษัทซิตี้แบงก์ โดยโฆษณาว่าลงทุนเพียง 1,000 บาท จะได้กำไร 30,000 บาทต่อเดือน ผู้เสียหายเห็นว่าได้กำไรเยอะ จึงหลงเชื่อและโอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายจำนวน 1,000 บาท
.
หลังจากนั้นคนร้ายได้ส่งข้อความทางไลน์กลับมาแจ้งว่า การลงทุนแค่ 1,000 บาท มีความเสี่ยงสูง ต้องลงทุนเพิ่ม ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายอีกจำนวน 8,999 บาท จากนั้นคนร้ายแจ้งว่าให้ลงทุนเพิ่มอีกเพื่อจะได้ถอนเงินออก โดยครั้งนี้เป็นการลงทุนหลักหมื่นเพื่อจะได้กำไรกลับมานับหลายแสน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปอีก 99,678 บาท ต่อมาคนร้ายแจ้งว่าต้องลงทุนเพิ่มอีกเนื่องจากยังไม่ครบจำนวนที่สามารถถอนเงินออกมาได้ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปยังบัญชีธนาคารคนร้ายอีก 124,379 บาท
.
ภายหลังคนร้ายแจ้งว่าจากการที่ลงทุนไปทั้งหมด ผู้เสียหายได้กำไร 2,000,000 บาท แต่ผู้เสียหายต้องเสียค่าธรรมเนียม จำนวน 46,642 บาทก่อน ถึงจะถอนเงินออกมาได้ ผู้เสียหายจึงโอนยอดดังกล่าวไปให้คนร้ายอีก จากนั้นคนร้ายอ้างว่าต้องชำระค่าภาษีเงินได้อีกจำนวน 72,555 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป จากนั้นคนร้ายอ้างว่าผู้เสียหายโอนผิดจำนวนต้องโอนใหม่ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปอีก 72,554 บาท จากนั้นคนร้ายอ้างต่ออีกว่า ผู้เสียหายต้องจ่ายค่าเทรนเนอร์อีก 100,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินเพิ่มอีก จากนั้นคนร้ายอ้างต่ออีกว่าต้องจ่ายค่าสรรพากรอีก 120,909 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินเพิ่มไป จากนั้นคนร้ายอ้างต่ออีกว่าต้องจ่ายค่าดำเนินการอีก 60,499 บาท ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อโอนเงินไป จากนั้นคนร้ายอ้างต่ออีกว่าจำนวนเงินที่ผู้เสียหายได้รับนั้นมีจำนวนมาก ทางบริษัทต้องดำเนินการแบบระดับ VIP จึงต้องจ่ายเพิ่มอีก 80,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปอีก จากนั้นคนร้ายอ้างว่าผู้เสียหายบันทึกรายการผิดต้องโอนใหม่ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปยังบัญชีธนาคารคนร้ายเพิ่มอีกจำนวน 80,000 บาท
.
หลังจากนั้นผู้เสียหายเริ่มรู้สึกผิดสังเกต จึงไปปรึกษาเพื่อนและทราบว่าตนเองถูกหลอกแล้ว รวมโอนเงินให้คนร้ายจำนวน 18 ครั้ง รวมมูลค่าความเสียหาย 1,107,505 บาท จึงเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.5 เพื่อดำเนินคดี
.
ต่อมา พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกสืบสวนสอบสวนกรณีดังกล่าว จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการได้หลายราย
.
กระทั่ง ว่าที่ พ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่สืบสวนจนทราบว่า น.ส.รัชนาถฯ อายุ 22 ปี หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการ ได้พักกบดานอยู่ภายในหมู่บ้านเอื้ออาทรแห่งหนึ่งในซอยวัดกู้ หมู่ 3 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จึงนำกำลังวางแผนเข้าจับกุมจนสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ขณะยืนอยู่บริเวณริมถนนหน้าอาคาร ในหมู่บ้านเอื้ออาทรดังกล่าว พร้อมแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น และนำเข้าสู่ระบบระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง” นำส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.5 ดำเนินคดี พร้อมเร่งขยายผลจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีเพิ่มเติมต่อไป

受害人陷入“转1000泰铢,获利3万泰铢”的欺诈性投资骗局,总共向骗子转账18次,总损失达1,107,505泰铢。

2024.8.23 เมื่อวันที่ 22สิงหาคม ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.พร้อมคณะ แถลงจับกุมผู้ต้องหาชาวจีน 3 ราย แปลงสัญชาติเป็นวานูอาตู โดยพบว่าเป็นหัวหน้าเครือข่ายพนันออนไลน์ข้ามชาติ และเป็นหัวหน้าจัดทำระบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มียอดเงินหมุนเวียน 55,000ล้านบาท

สตม.จับต่างชาติ แก๊งคอลฯชาวจีน ปลอมพาสปอร์ต 8เกาหลีตุ๋นลงทุน

สตม.จับต่างชาติ

แก๊งคอลฯชาวจีน

ปลอมพาสปอร์ต

8เกาหลีตุ๋นลงทุน

สตม.โชว์ผลงาน รวบตัว3 ผู้ต้องหาชาวจีน หนีคดีฉ้อโกงทรัพย์ ถือหนังสือเดินทางสัญชาติวานูอาตู เข้าไทย พบข้อมูลเป็นหัวหน้าเว็บพนันข้ามชาติ-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีเงินหมุนเวียนถึง 5.5 หมื่นล้านบาท

เมื่อวันที่ 22สิงหาคม ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.พร้อมคณะ แถลงจับกุมผู้ต้องหาชาวจีน 3 ราย แปลงสัญชาติเป็นวานูอาตู โดยพบว่าเป็นหัวหน้าเครือข่ายพนันออนไลน์ข้ามชาติ และเป็นหัวหน้าจัดทำระบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มียอดเงินหมุนเวียน 55,000ล้านบาท

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวว่า การจับกุมดังกล่าวเนื่องจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ ส่งคำร้องให้ทางการไทย ช่วยติดตามจับตัวนายซู สัญชาติจีน อายุ 47 ปี ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อไปดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชน และความผิดฐานเปิดบ่อนการพนันซึ่งจากการสืบสวนพบว่านายซู ได้ใช้หนังสือเดินทางประเทศวานูอาตู เข้ามาประเทศไทย แทนหนังสือเดินทางของประเทศจีน นอกจากนี้ยังพบนางจาง และนายซู เจียง ซึ่งเป็นเครือญาติของนายซู ถือหนังสือเดินทางของประเทศวานูอาตู เข้ามาในประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกัน

จากการประสานไปยังสถานเอกอัครราชทูตฯ เพื่อตรวจสอบประวัติได้รับแจ้งว่าบุคคลทั้งสองมีสัญชาติจีน โดยนางจางและนายซู เจียง มีประวัติกระทำผิดในข้อหาเปิดบ่อนพนันโดยการสืบสวนยังทราบว่าทั้ง 3 มีพฤติการณ์ย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง เพื่อให้ยากต่อการติดตามจับกุมตัวอย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมทั้ง 3 ได้ที่บ้านพักหรูแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี และจากการเข้าตรวจค้นพบโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแปลงสัญชาติของทั้ง 3 เบื้องต้นจากการสอบถามนายซู รับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับผู้ร้ายข้ามแดนจริง

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวอีกว่า พฤติการณ์ของนายซู และนางจางนั้น ได้มีการจัดตั้งองค์กรชื่อ “หญิงฟา” ซึ่งจัดให้มีการเล่นเป็นพนันออนไลน์ มีสมาชิกในการเล่นพนันและเงินหมุนเวียนกว่า 55,000 ล้านบาท นอกจากนี้ตัวนายซู ยังเป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงผู้อื่นทางโทรคมนาคมด้วย

อีกราย พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม.พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม.พร้อมคณะ แถลงจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ชาวเกาหลีใต้8 คน ภายหลังได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีชาวเกาหลีใต้เช่าห้องพักภายในอาคารหรู ย่านเอกมัย ซอย 3 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม.โดยทั้งหมดมีพฤติการณ์เกี่ยวพันกับแก๊งพนันออนไลน์ รวมทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งหลังจากรับแจ้ง เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบพบว่าห้องที่มีชาวเกาหลีเข้า-ออกประจำ อยู่ที่ชั้น 4 ของอาคารดังกล่าว ประตูหน้าห้องติดอักษรภาษาอังกฤษคำว่า “CONTENT FACTORY. KOREA&THAI”

ส่วนผลการตรวจสอบพบว่าภายในห้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกเป็นห้องเล็กมีคอมพิวเตอร์8 ชุด ขณะที่ห้องใหญ่มีคอมพิวเตอร์12 ชุด แต่ละชุดมีจอคอมพิวเตอร์ 2 จอ มีนายแจซุก พร้อมกับพวกรวม 8 คน นั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ลักษณะพูดคุยชักชวนให้ร่วมลงทุนกับธนาคาร Hana Partners Investment ซึ่งเป็นธนาคารของเกาหลีใต้ ผ่านเว็บไซต์ https://hanapartners.net/login ที่สร้างขึ้นเพื่อให้เข้าใจว่าเป็นเว็บไซต์ของธนาคารจริง แต่เมื่อเข้าไปดำเนินการตามขั้นตอนแล้วอาจจะสูญเสียเงินที่ลงทุนไป และพบโทรศัพท์มือถือ 17 เครื่อง และไอแพด 4 เครื่อง จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน

สอบสวนทั้ง 8 รับสารภาพว่าได้ถูกว่าจ้างให้มาทำงานในประเทศไทยในลักษณะการเป็นตัวแทนหาลูกค้าโดยพูดคุยผ่านทางโซเชียลมีเดียรูปแบบต่างๆ ชักชวนให้ร่วมลงทุนผ่านเว็บไซต์ดังกล่าว มีค่าจ้างเป็นเปอร์เซ็นตร์จากการหาลูกค้าให้นำเงินมาลงทุนได้ เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 8 ในความผิดข้อหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน คุมตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.สส.สตม.ดำเนินคดีและประสานข้อมูลเจ้าหน้าที่ตำรวจเกาหลีใต้ ในการสืบสวนขยายผลการจับกุมต่อไป

移民局大展拳脚,宣布逮捕3名改国籍为瓦努阿图的中国犯罪嫌疑人。信息查出他们是跨国在线赌博网络的负责人和呼叫中心团伙的头目,营业额达550亿泰铢。

รวบหัวหน้าเว็บพนัน-แก๊งคอลฯชาวจีน พร้อมสมุน ใช้ประเทศไทยเป็นฐาน

พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บช.สตม.) พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ต. ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผู้กำกับการ4กองบังคับการสืบสวนสอบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พ.ต.ท.สิทธิมณ สร้อยภู่ระย้า สารวัตรกองกำกับการ 4 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง นำกำลังพร้อมหมายค้นของศาลพัทยา เข้าตรวจค้นบ้านพักหรูแห่งหนึ่ง ในอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี สามารถจับกุม นายซู อายุ 47 ปี นางจาง อายุ 46 ปี และ นายซู เจียง อายุ 39 ปี ทั้งสามคนสัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับผู้ร้ายข้ามแดน ในข้อหา “ฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชน และเปิดคาสิโน” พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค หลายรายการและเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเเปลงสัญชาติ

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวว่า เนื่องจากทางสถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ได้ข้อความร่วมมือมาที่กระทรวงการต่างประเทศ ขอให้จับตัวนายซู อายุ 47 ปี สัญชาติจีน ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้ออกหมายจับในข้อหา ฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชนและความผิดฐานเปิดคาสิโน เพื่อส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดียังประเทศสาธารณะรัฐประชาชนจีน ต่อมา กก.4 บก.สส.สตม. สืบทราบว่า นายซู ได้ใช้หนังสือเดินทางประเทศวานูอาตูเดินทางเข้ามาที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 อีกทั้งพบว่าไม่ได้มีแค่นายซู เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ใช้หนังสือเดินทางประเทศวานูอาตูเข้ามาไทย แต่ยังพบว่ามีเครือญาติของนายซู คือ นางจาง อายุ 46 ปี และ นายซู เจียง อายุ 39 ปี เดินทางเข้ามาที่ประเทศไทยด้วย

ซึ่งจากการตรวจสอบบุคคลทั้งสองคือบุคคลสัญชาติจีน โดยนางจาง เป็นบุคคลที่ทางการจีนได้ออกหมายจับในข้อหา “ฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชนและความผิดฐานเปิดคาสิโน” และนายซู เจียง เป็นบุคคลที่ทางการจีน ได้ออกหมายจับในข้อหา “เปิดคาสิโน” อีกด้วย กระทั่งสืบทราบว่า บุคคลดังกล่าวได้หลบหนีไปอยู่บ้านพักหรูแห่งหนึ่ง ในอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จึงขอหมายค้นของศาลจังหวัดพัทยาเข้าตรวจค้นจนนำมาสู่การจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 รายดังกล่าว

ก่อนควบคุมตัว นายซู ส่งพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการ ส่วนนางจางและนายซู เจียง ได้แจ้งข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรและการอนุญาตสิ้นสุดลง นำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป

ด้าน พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวว่า จากแนวทางสืบสวนทราบอีด้วยว่า บุคคลเหล่านี้ได้มีการจัดตั้งองค์กรชื่อ หญิงฟา ซึ่งได้มีการจัดให้เล่นคาซิโน ออนไลน์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมะนิลาประเทศฟิลิปปินส์ และในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีบุคคลจำนวนเข้าเป็นสมาชิกในการเล่นการพนันและมีเงินหมุนเวียนกว่า 55,000 ล้านบาท อีกทั้งยังพบว่านายซู เป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกหลวงผู้อื่นทางระบบโทรคมนาคม โดยได้ทำการจัดตั้งระบบ เว็บไซต์ และระบบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับระบบหลังบ้านของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานอยู่ที่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต์อีกด้วย

一个中国赌博网站和电话团伙的头目及其以泰国为基地的下属被捕。

สตม. ปิด 3 จ๊อบจับต่างชาติ หนุ่มไต้หวัน 3 จีนเทาพนัน และแก๊งคอลฯ เกาหลี

สตม. รวบชายไต้หวันลอบส่งออกกัญชาข้ามชาติผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในไทย พร้อมรวบ 3 จีนเทาผู้ร้ายข้ามแดนแปลงสัญชาติเป็นวานูอาตู ทั้งพบเป็นหัวหน้าเครือข่ายพนันออนไลน์ข้ามชาติและเป็นหัวหน้าจัดทำระบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เงินหมุนเวียน 55,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เกาหลีใต้ที่มาเช่าห้องพักหรูย่านเอกมัยเป็นฐานปฏิบัติการ

เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผบช.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้องรอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4บก.สส.สตม. และ ว่าที่ พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวรวบชายไต้หวันลักลอบส่งออกกัญชาข้ามชาติผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในไทย

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวว่า ภายหลังได้รับแจ้งจากสายลับมีกลุ่มคนไต้หวันลักลอบนำกัญชาจากไทยส่งออกไปยังไต้หวัน โดยไม่มีการขออนุญาตที่ถูกต้อง ซึ่งจากการสืบสวนพบมีความเชื่อมโยงกับร้านกัญชาแห่งหนึ่ง (ปัจจุบันได้ปิดตัวลงไปแล้ว) ขายกัญชาส่วนช่อดอกผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งพบผู้มีส่วนเกี่ยวข้องคือ Mr.CHANG สัญชาติไต้หวัน อายุ 29 ปี และกลุ่มเพื่อน พักอยู่คอนโดย่านห้วยขวาง เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเพื่อเข้าตรวจสอบ พบผู้ร่วมขบวนการคือ Mr.LIN สัญชาติไต้หวัน อายุ 30 ปี จากการตรวจค้นที่พักยังพบเห็ดขี้ควายบรรจุในซองสุญญากาศ น้ำหนัก 42 กรัม และหนังสือเดินทางของ Mr.CHANG พร้อมชาวไต้หวันคนอื่นอีก 2 เล่ม

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวต่อว่า Mr.LIN ยอมรับว่าบุคคลอื่นในหนังสือเดินทางที่พบได้หลบหนีออกไปก่อนหน้านี้แล้ว และจากการตรวจสอบห้องพักประจำของทั้งสองคน ยังพบกัญชาส่วนของช่อดอก เครื่องชั่งน้ำหนัก ถุงสำหรับแบ่งขาย เครื่องซีนถุง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรายการ จึงได้ทำการตรวจยึดไว้ และจากการตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่าหนังสือเดินทางของ Mr.CHANG ได้ Overstay เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการแจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมพร้อมดำเนินคดีในข้อหา มีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดประเภทที่ 5 โดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบ Mr.CHANG เป็นบุคคลที่มีประวัติต้องคดีอาญาในข้อหานำเข้าและจำหน่ายกัญชาในไต้หวัน

นอกจากนี้ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. เปิดเผยถึง การรวบ 3 จีนเทา ผู้ร้ายข้ามแดนแปลงสัญชาติเป็นวานูอาตู ทั้งพบเป็นหัวหน้าเครือข่ายพนันออนไลน์ข้ามชาติ และเป็นหัวหน้าจัดทำระบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เงินหมุนเวียน 55,000 ล้านบาท โดยสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศส่งคำร้องให้ทางการไทยจับตัว นายซู (นามสมมติ) สัญชาติจีน อายุ 47 ปี เป็นผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อไปดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชน และความผิดฐานเปิดบ่อนการพนัน

จากการสืบสวนพบ นายซู ได้ใช้หนังสือเดินทางประเทศวานูอาตูเข้ามาในประเทศไทยแทนหนังสือเดินทางของประเทศจีน นอกจากนี้ ยังพบ นางจาง (นามสมมติ) และนายซู เจียง (นามสมมติ) ซึ่งเป็นเครือญาติของนายซู ได้ถือหนังสือเดินทางของประเทศวานูอาตูเข้ามาในประเทศไทยด้วย จากการประสานไปยังสถานเอกอัครราชทูตเพื่อตรวจสอบประวัติ ได้รับแจ้งว่าบุคคลทั้งสองมีสัญชาติจีน โดย นางจาง และนายซู เจียง มีประวัติกระทำผิดในข้อหาเปิดบ่อนพนัน ทั้งนี้จากการสืบสวนยังทราบว่าทั้ง 3 คนมักมีพฤติการณ์ย้ายที่อยู่เพื่อให้ยากต่อการจับกุม โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมทั้ง 3 ได้ที่บ้านพักในจังหวัดชลบุรี และจากการเข้าตรวจค้น พบโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแปลงสัญชาติของทั้ง 2 คนและบุตร โดยเบื้องต้นจากการสอบถามนายซู ให้การยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับผู้ร้ายข้ามแดนจริง

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวอีกว่า พฤติการณ์ของนายซูและนางจางนั้น ทั้งสองคนได้มีการจัดตั้งองค์กรชื่อ หญิงฟา ซึ่งจัดให้มีการเล่นเป็นกาสิโนออนไลน์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีสมาชิกในการเล่นพนันและเงินหมุนเวียนกว่า 55,000 ล้านบาท ตัวนายซูยังเป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงผู้อื่นทางระบบโทรคมนาคม โดยทำการตั้งระบบเว็บไซต์ และระบบที่เกี่ยวข้องต่างๆ หลังบ้าน มีฐานอยู่ที่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

พล.ต.ต.พันธนะ เผยด้วยว่า ผลการนำกำลังเข้าตรวจสอบคอนโดมิเนียมกลางกรุง ย่านเอกมัย ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เกาหลีใต้ที่มาเช่าห้องพักหรูเป็นฐานปฏิบัติการ

ว่าที่ พ.ต.อ.ธวัชชัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กองกำกับการ 1 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีชาวเกาหลีใต้มาเช่าห้องภายในอาคารหรูย่านเอกมัย ซอย 3 อ้างว่าเปิดเป็นออฟฟิศเงินดิจิทัล แต่มีพฤติการณ์น่าสงสัยว่าจะเป็นแก๊งการพนันออนไลน์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมื่อมาตรวจสอบก็พบว่ามีชาวเกาหลีเข้าออกห้องที่อยู่บนชั้น 4 เป็นประจำ โดยห้องดังกล่าวติดป้ายไว้ที่หน้าห้องว่า “Content Factory Korea & Thai” เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอเข้าทำการตรวจค้น

จากการตรวจสอบ พบว่าภายในห้องแบ่งออกเป็น 2 ห้อง ห้องแรกมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ จำนวน 8 ชุด ส่วนอีกห้องมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ จำนวน 12 ชุด และพบชายชาวเกาหลีใต้ 8 คน กำลังนั่งทำงานอยู่ในลักษณะของการอ้างตัวเป็นนักวิเคราะห์หุ้น เป็นผู้เชี่ยวชาญโบรกเกอร์ของธนาคารของเกาหลีใต้ ซึ่งจะหลอกลวงให้เหยื่อมาลงทุนผ่านหน้าเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นเลียนแบบเว็บของธนาคารจริง นอกจากนี้ ยังพบโทรศัพท์มือถือ จำนวน 17 เครื่อง และ iPad จำนวน 4 เครื่อง และภายในห้องยังมีกระดานที่เอาไว้เขียนข้อมูลหุ้นแต่ละตัว และข้อมูลว่าต้องพูดกับเหยื่ออย่างไร

จากการสอบถามชาวเกาหลีใต้ทั้ง 8 คน ให้การยอมรับว่า ถูกว่าจ้างให้มาทำงานในประเทศไทย ชักชวนหาลูกค้ามาร่วมลงทุนผ่านเว็บไซต์ดังกล่าว โดยจะได้ค่าจ้างเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ได้จากการที่ลูกค้ามาลงทุน เบื้องต้น ได้จับกุมดำเนินคดีในข้อหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน และทำการเพิกถอนวีซ่า ซึ่งจากการประสานกับตำรวจเกาหลีใต้ พบว่าบางคนมีประวัติเคยถูกดำเนินคดีที่เกาหลีใต้ด้วย

สำหรับมูลค่าความเสียหาย กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนร่วมกันกับทางการเกาหลีใต้เพื่อตรวจสอบ เพราะชาวเกาหลีใต้ทั้ง 8 คน ยังไม่ยอมให้การในรายละเอียด แต่จากการตรวจสอบรายชื่อในคอมพิวเตอร์ พบว่ามีข้อมูลของเหยื่อกว่า 1 แสนคนต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 ชุด จึงเชื่อว่าน่าจะมีความเสียหายจำนวนมาก สำหรับรายชื่อต่างๆ พบว่านำมาจากตลาดมืด มีข้อมูลครบทั้งชื่อ เบอร์โทร จำนวนเงินลงทุน และความเสี่ยงต่างๆ

สำหรับสถานที่แห่งนี้ พบว่ากลุ่มชาวเกาหลีใต้กลุ่มนี้เพิ่งเข้ามาประเทศไทยผ่านช่องทางสนามบินสุวรรณภูมิ และเพิ่งมีการมาทำสัญญาเช่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมี นายจุงฮุน อายุ 26 ปี เป็นหัวหน้าขบวนการ ส่วนคนอื่นๆ ทยอยเดินทางเข้ามา ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวและมาพักอยู่รวมกันในสถานที่ใกล้เคียงจุดที่จับกุม ซึ่งทุกวันจะมีรถตู้มารับส่งเพื่อมาทำงานที่นี่ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าน่าจะมีกลุ่มขบวนการมากกว่านี้ เพราะมีจำนวนคอมพิวเตอร์เยอะมาก เชื่อว่าขบวนการนี้น่าจะมีฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศอื่นด้วย เพราะพบประวัติกลุ่มผู้ต้องหาว่ามีการเดินทางไปมาในประเทศเพื่อนบ้านด้วย

移民管理局逮捕3名台男、中国赌徒、韩国诈骗团伙

移民局逮捕了一名通过泰国网络平台秘密向国际出口大麻的台湾男子,并逮捕了三名被引渡入籍瓦努阿图的中国人,其中两人被发现都是跨国在线赌博网络的头目和呼叫中心帮派系统的头目,营业额达550亿泰铢,还摧毁了在Ekkamai地区租用豪华房间作为活动基地的韩国呼叫中心团伙。

2024.8.20 MBI国际集团, 张誉发, เตียว ฮุยฮวด, Teow Wooi Huat, MBI国际集团创办人张誉发被引渡到中国受审, Pengasas MBI Tedy Teow diekstradisi dari Thailand ke China, ส่ง “เตียว ฮุยฮวด” ผู้ร้ายข้ามแดน กลับจีนรับโทษ “คดีฟอกเงิน”

中国从泰国引渡一名特大经济犯罪嫌疑人
公安部经侦局 2024年08月23日 11:27 北京

8月20日22点44分,在国内有关部门、我驻泰国使馆和泰国执法部门的大力协助下,公安部“猎狐行动”工作组将涉嫌组织、领导传销活动罪的特大经济犯罪嫌疑人张某某从泰国成功引渡回国。此案系1999年中泰引渡条约生效后,中国从泰国引渡的首名经济犯罪嫌疑人。

据了解,自2012年以来,以犯罪嫌疑人张某某为首的MBI集团通过发行虚拟数字货币的方式,要求参加者缴纳700元至24.5万元人民币不等的费用获得平台会员资格,以高额返利为诱饵,以发展会员数量、投入资金数量作为计酬方式或者返利依据,实施网络传销违法犯罪活动。该集团共发展会员一千余万人次,涉案资金超一千亿元人民币。

2020年11月,重庆市公安局依法对张某某立案侦查;2021年3月,国际刑警组织中国国家中心局对其发布红色通报。2022年7月21日,泰国警方抓获张某某。随后,中方依据双边引渡条约向泰方提出引渡请求。今年5月21日,泰国上诉法院终审裁决将张某某引渡中国,8月14日,泰国政府作出行政决定,支持法院上述终审裁决。

公安部“猎狐行动”办公室有关负责人表示,张某某的成功引渡,显示了中国政府维护公民权益、捍卫法律尊严的坚定决心和意志,是中泰执法司法合作的重大成果,对巩固深化中泰两国执法司法合作具有里程碑式的意义,也将对今后中国和其他国家引渡合作起到积极示范作用。

(马来西亚媒体)
张誉发终被引渡受审 受害者闻讯感欣慰

余家福:受害者听闻张誉发已被引渡中国受审,皆对此感到高兴。(张韦瑜摄)

(吉隆坡21日讯)涉及欺诈和通过网络洗黑钱而在泰国被捕的大马籍MBI国际集团创办人张誉发,经过2年司法程序后终于被引渡到中国受审,400名中国籍投资受害者闻讯无不感到欣慰。

代表400名中国受害者向张誉发提出民事诉讼的余家福律师指出,张誉发被引渡到中国受审的消息传开后,其委托人皆对此感到高兴。

“他们(受害者)会继续在中国跟进案件的调查进展,以维护本身的权益。”

余家福今早在新闻发布会上说,他在今年6月12日曾就电邮致函泰国司法机构,以询问有关引渡张誉发受审的事情进展,直至本月19日终于收到当局的回复。

他说,当局在回信中表明泰国法庭已完成张誉发针对引渡受审提出上诉的二审程序并且维持原判,张誉发将被引渡到中国受审。

“根据当局的回函,从5月21日算起,中国当局需在90天内引渡张誉发,否则张誉发将被释放(released);换言之,中国当局必须在昨天(20日)之前引渡张誉发。”

余家福向媒体展示泰国司法机构的回函,证实张誉发将被引渡到中国。(张韦瑜摄)

他说,有关张誉发被引渡受审一事的进展,自去年1月之后便没有下文,他一度为此感到忧心,毕竟这对他代表400名中国受害者在大马提出的民事诉讼有很大的影响。

无论如何,他说,有关民事诉讼将于10月7日开庭审讯,他将近尽所能协助受害者向MBI集团和张誉发追讨1亿令吉的投资金。

根据早前报道,57岁的大马籍商人张誉发被指控通过多种业务欺骗中国投资者,一些中国投资者自数年前就通过微博,甚至亲自前来大马维权。

他们指控张誉发通过MBI公司、榴莲树种植投资计划,及发行代币等方式诈财;中国投资者亦声称,被骗人士多达200万人,涉及金额更高达5000亿人民币。

(马来西亚媒体)
MBI国际集团创办人 张誉发被引渡到中国受审

张誉发已于周二下午被中国当局引渡到中国接受调查。(泰叻报)

(吉隆坡21日讯)因涉及欺诈及通过网络洗黑钱而在泰国被捕的大马籍MBI国际集团创办人张誉发,已于昨午在泰国和中国执法官员押送下,乘机从泰国被引渡到中国受审接受调查。

根据泰国媒体《泰叻报》的报道,中国驻泰国大使馆安排官员从曼谷监狱带走张誉发,原定乘坐晚上7时35分的CA960的航班飞往中国,却临时改乘当天下午5时34分上海航空公司FM834航班,从曼谷飞往上海。

在此之前,泰国法院最终裁定将张誉发引渡至中国;根据裁决,从5月21日最终判决之日起90天内,张誉发必须被引渡至中国。

尽管检察官要求法院延长引渡期限时,获法院批准将期限延长至11月15日,不过泰国于昨天让中国当局将张誉发引渡到中国。

根据早前报道,张誉发被指在中国建立传销组织,以提供服务为名,要求参与者支付费用或购买产品以成为会员,会员分为8个级别,并被邀请参加海外考察和领导会议。根据会员级别,他们将获得相应的报酬。

中国投资者声称,被骗人士多达200万人,涉及金额更高达5000亿人民币,一些中国投资者自数年前就通过微博,甚至亲自前来大马维权。

中国警方于2020年11月9日,透过国际刑警发布红色通报通缉张誉发,而大马警方也在2021年点名通缉建立庞大“金字塔骗局”,并且向公众出售MBI集团的股票而被起诉冻结财产的张誉发。

由于在大马和中国的业务都无法继续经营,张誉发没有返马,而是选择在泰国投资。

张誉发在泰国定居近10年,他的公司经营着酒店、娱乐场所、游乐园、市场、建筑、房地产和家具业务,总价值数十亿泰铢。这些产业主要集中在丹诺的经济特区,占地超过100莱(约16公顷)。

他建造并收购了六家五星级酒店和十多个娱乐场所,还耗资5000万泰铢建造了泰国最高的象神雕像,个神像高59公尺以及一尊价值超过2000万泰铢的镶嵌宝石的四面佛,供泰国人民和游客在丹诺象神庙参拜。

泰国警方随后于2022年7月21日,搜查张誉发位于松卡府的MBI公司,并逮捕涉嫌通过网络赌博活动洗黑钱的张誉发;张誉发随后被带到宋卡府移民局,他的泰国签证被撤销,然后被带到曼谷接受调查。

中国和大马警方分别向泰国申请引渡张誉发接受调查,去年1月18日,泰国法庭在线上审讯中,判决张誉发被引渡到中国面对欺诈案的调查,但之后张誉发提出上诉。

(马来西亚媒体)

警员机场押送照片曝光 张誉发 证实被引渡到中国
张誉发已于周二(20日)被引渡至中国面审。

(吉隆坡21日讯)2年前在泰国落网的MBI国际集团创办人张誉发,昨日已被引渡至中国面审了!

根据泰国媒体泰叻报(Thairath)报导,泰国法庭去年1月裁决张誉发将被引渡至中国面审,其代表律师当时称将针对裁决结果提出上诉,最终于泰国上诉庭于今年5月21日的裁决,维持了张誉发需要被引渡到中国受审的判决。

因此,张誉发将被引渡至中国,并表明中方需要在90天内将张誉发引渡,否则泰国官方则需要释放张誉发。

据报导, 中方事后向泰国法庭提交一份请愿书,要求延长引渡张誉发至中国面审的时间,而泰国法庭批准将引渡期限延长至11月15日。

中国驻泰国大使馆随后安排官员,从曼谷监狱接走张誉发,并将他带到曼谷素旺那普国际机场(Suvarnabhumi)的临时拘留室,在官员和当地移民局的协调下,办理离境手续。

报导指,张誉发原定于昨晚7时35分乘坐CA960航班离开泰国,被引渡至中国,但中国当局临时更改航班,于当天下午5点34分乘搭上海航空公司的FM834航班,从曼谷飞往中国上海。

(马来西亚媒体)

泰法院针对上诉已裁决 大马“争输” 张誉发需引渡中国

(吉隆坡21日讯)因涉及诈骗而于2年前在泰国落网的MBI国际集团创办人张誉发,最新进展是泰国法院已针对他需引渡中国的上诉裁决,并维持了他需要被引渡到中国受审的判决。

随着泰国法院作出这项裁决,这意味大马向泰国要求引渡张誉发回国的要求被拒绝,而张誉发则需要被送到中国面对审讯。

无论如何,根据受400名中国籍投资人委托向张誉发进行民事诉讼的大马律师余家福透露,由于泰国法院的上诉裁决是在5月21日作出,当时也表明中方需要在90天内将张誉发引渡,否则泰国官方则需要释放张誉发,惟到目前90天期限已过,张誉发的下落仍不明朗,而让他怀疑张誉发或已重获自由。

余家福今天在其律师楼召开记者会公布他掌握的资料,并表明如今张誉发去向不明,包括是否已被引渡至中国、被遣返回大马,抑或是仍身在泰国,仍是个谜。

他透露,张誉发于2022年在泰国落网后,案件便进入司法程序,中国和大马先后提出引渡张誉发的申请,可见此案的重要性,涉及大众利益。

根据中国媒体报导,截止MBI彻底崩盘,世界范围内共有逾200多万人上当,涉案金额高达5000亿元人民币,其中大部分受害者都来自于中国。

而在大马,MBI于2017年被国家银行列入“金融及消费者警示名单”中,随后政府在贸消部的带领下设立专案小组,当中成员包括总检察署、关税局、大马反贪污委员会、税务局、国行和警方等组成。贸消部较宣布,已分别在8家本地银行冻结91个与该公司挂钩的银行户口,总额为1亿7700万令吉。

余家福向记者展示其律师楼向泰国法院发送官方信函,询问张誉发的上诉结果。

余家福多次查问无下文 接回应 已是引渡中国最后期限

余家福指出,去年1月,泰国法庭裁决张誉发将被引渡至中国面审,其代表律师当时称将针对裁决结果提出上诉,但时隔1年半个月,泰国及本地媒体都没报导此案的后续。

因此,其律师楼于今年6月12日发送正式信函予泰国法院,询问上诉的最终结果,因有关结果与400名投资者对张誉发和MBI国际集团进行民事诉讼一事有关联。

他透露,直到本月19日,律师楼接获一则由泰国司法和法律事务办公室法律官员查莱尔姆猜发送的回函,证实根据泰国上诉庭于今年5月21日的裁决,张誉发将被引渡至中国面审。

“根据回函内容,泰国法院签发了拘留令,拘留张誉发以等待引渡,若在最终裁决日之后的90天内没引渡张誉发,那对方将被释放。”

他指出,如今张誉发是否已被引渡至中国面审、审讯过程及结果如何、抑或是被遣返回大马等等,却不见有媒体进行报导,因此对于张誉发的最新进展仍是个谜。

“据我所知,张誉发在泰国的工作长期居留证已被取消,因此他人在泰国的可能性较低。”

余家福说,对于张誉发的最新状况,包括他是否在中国面审、面审结果如何、抑或是被遣返回大马等,一切是个谜。

民事诉讼 10月7日开审

余家福指出,涉及400名中国投资者对张誉发和MBI国际集团进行民事诉讼,将于今年10月7日开审。

根据新闻背景,张誉发是于2022年7月22日,因涉嫌在泰国南部透过网络赌博进行洗黑钱活动,而在当地被捕。

中国于同年8月10日提出引渡张誉发的申请,大马则是在同年12月20日提出引渡申请。

2023年1月18日,泰国法庭裁决张誉发将被引渡至中国面审,其代表律师将针对裁决结果提出上诉;但过后便一直没有下文。

(马来西亚媒体)

Pengasas MBI Tedy Teow diekstradisi dari Thailand ke China

BANGKOK: Ahli perniagaan Malaysia Tedy Teow Wooi Huat, yang ditangkap oleh pihak berkuasa Thailand pada tahun 2022, telah diekstradisi ke China untuk menghadapi pertuduhan berkaitan penipuan, menurut laporan portal berita Thailand.

Portal Thairath melaporkan bahawa pengasas Kumpulan MBI itu telah dihantar pulang dari Penjara Tahanan Bangkok dengan menaiki pesawat ke China pada hari Selasa.

“Pada 20 Ogos, Teow diekstradisi ke China untuk menghadapi pertuduhan pengubahan wang haram,” lapor portal itu pada hari Rabu.

Laporan itu menyatakan bahawa ahli perniagaan berusia 58 tahun itu diserahkan kepada kedutaan China di Thailand dengan kawalan keselamatan ketat oleh pihak berkuasa China dan Thailand.

Penerbangan asal untuk menghantar beliau telah diubah pada saat akhir, dengan suspek dihantar pulang menggunakan penerbangan lain di bawah kawalan keselamatan ketat oleh pihak berkuasa Thailand dan China.

“Teow dipindahkan ke pusat tahanan sementara di Lapangan Terbang Suvarnabhumi, dengan pegawai dari kedua-dua pihak menguruskan proses ekstradisi selain pihak imigresen membantu dalam proses ekstradisi beliau seperti yang diperintahkan mahkamah,” menurut laporan itu.

Pada 21 Julai 2022, polis Thailand menangkap Teow selepas visanya dibatalkan. Teow dituduh mengatur skim piramid, menipu pelabur dan menjalankan urusniaga multi level marketing.

Polis China telah memohon penangkapan Teow dengan mengeluarkan notis merah melalui Interpol pada 9 November 2020 setelah dilaporkan Teow telah menipu sehingga dua juta orang, dengan ramai warga China menjadi mangsa skim penipuannya.

Di Malaysia, pihak berkuasa telah membekukan 91 akaun bank yang dikaitkan dengan MBI Group International, bernilai RM177 juta, dan Bank Negara, Bank Pusat Malaysia, telah menyenaraikan MBI sebagai syarikat yang menjalankan skim kewangan meragukan.

(2022 年被泰国当局逮捕的马来西亚商人 Tedy Teow Wooi Huat 已被引渡到中国,面临欺诈相关指控。)

(马来西亚媒体)

MBI founder Tedy Teow extradited from Thailand to China

BANGKOK: Malaysian businessman Tedy Teow Wooi Huat who was arrested in 2022 by Thai authorities has been extradited to China to face charges in connection with fraud, according to a Thai news portal.

The Thairath portal reported that the MBI Group founder was deported from Bangkok Remand Prison on a plane to China on Tuesday.

“On August 20, Teow was extradited to China to face money laundering charges,” the portal reported on Wednesday.

The report said the 58-year-old Malaysian was handed over to the Chinese embassy in Thailand under tight security provided by both Chinese and Thai authorities.

The original flight plan was changed at the last minute with the suspect being deported on a different flight amid tight security by both Thai and Chinese authorities.

“Teow was transferred to a temporary detention facility at Suvarnabhumi Airport, with officials from both sides managing the extradition process and immigration authorities facilitating the exit process from the Kingdom as per court orders,” it reported.

On 21 July 2022, the Thai police arrested Teow after his visa was revoked. Teow was accused of organising pyramid schemes, defrauding investors and operating a multi-level marketing business

The Chinese police sought to arrest Teow by issuing a red notice through Interpol on Nov 9, 2020 after it was reported Teow had cheated up to some two million people with many Chinese nationals falling victim to his dubious schemes.

Back in Malaysia, the authorities had frozen 91 bank accounts linked to MBI Group International, valued at RM177mil and Bank Negara, the Central Bank of Malaysia, had listed MBI as a company running a dubious financial scheme.

(MBI 创始人 Tedy Teow 从泰国被引渡至中国)

(马来西亚媒体)

Malaysian businessman Tedy Teow set to face stringent economic crime laws in China (2024.8.24)

PETALING JAYA: Malaysian Tedy Teow, who was extradited to China from Thailand a few days ago, is expected to be the first person to face the republic’s tough economic crime laws.

He is accused of being involved in a cryptocurrency scam involving over 100 billion yuan (RM61.4bil), according to the South China Morning Post.

He is the first suspect in an economic crime that Bangkok has turned over to Beijing since an extradition treaty between the two countries took effect in 1999, according to the Chinese Ministry of Public Security.

“The successful extradition… is of landmark significance to the consolidation and deepening of law enforcement and judicial cooperation between China and Thailand,” the daily quoted the ministry as saying on Friday, calling the move a “major achievement”.

According to the daily, the ministry said the suspect was sent to China on Tuesday and only gave the man’s surname as Zhang.

Zhang Yufa, better known as Tedy Teow Wooi Huat, is the founder of the business conglomerate MBI Group.

Teow is suspected of running a pyramid scheme and defrauding people – most of whom thought to be Chinese nationals -by tricking them into buying MBI’s unlicensed and unrecognised cryptocurrency.

More than 10 million investors have fallen prey to the scheme since 2012, and the money involved amounted to over 100 billion yuan, according to the ministry.

Authorities in the southwest Chinese city of Chongqing had launched an investigation into Teow in late 2020, and months later the China bureau of Interpol, the International Criminal Police Organisation, issued a worldwide wanted notice for him.

Thai police arrested the businessman in July 2022 after he fled Malaysia.

Following that, Beijing submitted a request to Bangkok seeking to have him deported to stand trial in China.

A Thai court issued a final ruling to transfer Teow to China in May, a decision later supported by the Thai government.

Malaysia had also sought Teow’s deportation to Malaysia, where he is also wanted here for fraud.

But their request was made after China’s.

MBI Group, which describes itself as having “diversified interests in resources and management developments”, made headlines in October 2019 when about 100 Chinese nationals staged a demonstration outside Beijing’s embassy in Malaysia claiming they had lost their life savings to the firm.

The Chinese government has characterised Teow’s case as “extraordinary” and expected the handover of the suspect to set a “positive example” for future extradition cooperation between China and other countries.

(泰国媒体)

ส่ง “เตียว ฮุยฮวด” ผู้ร้ายข้ามแดน กลับจีนรับโทษ “คดีฟอกเงิน”

“เตียว ฮุยฮวด” (Teow Wooi Huat) ผู้ต้องหาชาวมาเลเซีย เจ้าของอาณาจักรเอ็มบีไอกรุ๊ป ถูกส่งตัว “ผู้ร้ายข้ามแดน” กลับไปดำเนินคดีที่จีนในคดี “ฟอกเงิน” แล้ว เมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ในข้อหาจัดตั้งองค์กรที่ชักจูงและประกอบสินค้าขายตรง แอบอ้างเป็นธุรกิจการให้บริการ โดยให้ผู้เข้าร่วมชำระเงินค่าบริการหรือสินค้าเพื่อเข้าเป็นสมาชิกที่มีลักษณะแชร์ลูกโซ่ที่ประเทศจีน ถูกจับตามหมายแดงอินเตอร์โพลข้อหาฟอกเงิน นำตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้กับประเทศจีน ตามคำสั่งอัยการสูงสุด

รายงานจาก กองการต่างประเทศ ระบุว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปรับตัว “เตียว ฮุยฮวด” หรือ “เสี่ยว จาง” หรือ “โทนี่ เตียว” ชาวมาเลเซีย วัย 58 ปี จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เพื่อส่งตัวผู้ต้องหาให้สถานเอก อัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ท่ามกลางการดูแลอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่จีนและไทย โดยมีการนำตัวส่งห้องควบคุมชั่วคราวที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จัดเจ้าหน้าที่ร่วมควบคุมตัวผู้ร้ายข้ามแดน และฝ่ายพิธีการเข้าเมือง อำนวยความสะดวกในการตรวจอนุญาตให้ผู้ร้ายข้ามแดนออกจากราชอาณาจักรตามคำสั่งศาล

ปี 2563 ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)สงขลา ได้รับหมายแดงของอินเตอร์โพลระบุ ว่า “เตียว ฮุยฮวด” กระทำความผิดในประเทศจีน ตั้งแต่ปี 2552 โดยมีการระดมทุนสร้างเครือข่ายลักษณะแชร์ลูกโซ่ เปิดบริษัทที่ประเทศมาเลเซีย สร้างแพลตฟอร์มทางการเงิน ใช้ชื่อย่อว่า MFC และ MIT มีการจัดงาน และหลอกลวงคนจีนและมาเลเซียให้เข้าสมัครเป็นสมาชิก แบ่งเป็น 8 ระดับ มีการจัดดูงานต่างประเทศ ประชุมระดับผู้นำ แล้วจะจ่ายเงินให้สมาชิกตามระดับ

นอกจากนี้ ยังมีการชักชวนให้นักลงทุนชักชวนบุคคลอื่นมาสมัครสมาชิกโดยจะต้องจ่ายค่าสมาชิกและลงทุน ซื้อสกุลเงินดิจิทัลโดยผู้ชักชวนจะได้รับคะแนนเงินรางวัล ค่าแนะนำ และสิทธิมากมายเป็นการตอบแทน และหลอกลวง ว่า บริษัท MBI ได้ร่วมลงทุนเป็นเงินจำนวน 1.5 พันล้านหยวน ในโครงการด้านการท่องเที่ยว กับรัฐบาลกุ้ยโจวในปี 2559 ทว่าข้อเท็จจริง คือ บริษัท MBI ของ “เตียว ฮุยฮวด” ไม่ได้ร่วมลงทุนด้านการท่องเที่ยวกับรัฐบาลกุ้ยโจว แต่อย่างใด

ดังนั้น เงินรายได้ของบริษัท MBI จึงมาจากการหลอกลวง ให้สมาชิกรายใหม่ร่วมลงทุนในลักษะองค์กร รูปทรงพีระมิด หรือ แชร์ลูกโซ่ โดยไม่มีการนำเงินไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนจริง ซึ่งพฤติการณ์ของ “เตียว ฮุยฮวด” กับพวกที่ร่วมกันหลอกลวงแได้เงินมาอย่างมิชอบด้วยกฎหมาย เหตุดังกล่าวเกิดระหว่างปี 2552-2563 ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน และมาเลเซีย เหตุการณ์นี้ มีคนจีนหลงเชื่อสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกจำนวนมาก มีการแจ้งความดำเนินคดี แต่ในปี 2555 “เตียว ฮุยฮวด” ได้หลบหนีการจับ กุมตำรวจเมืองฉงชิ่ง ประเทศจีน

22 ส.ค.2565 พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. สมัยเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. นำกำลังตำรวจ สภ.สะเดา จ.สงขลา และตำรวจตรวจคนเข้ามเมือง (ตม.)สงขลา นำหมายแดงองค์การตำรวจสากลหรือ “อินเตอร์โพล” เข้าตรวจค้นบริษัท เอ็มบีไอ จำกัด เลขที่ 888 ถนนกาญจนวณิชย์ เทศบาลตำบลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา จับกุม “เตียว ฮุยฮวด” พร้อมแจ้งข้อหา ความผิดฐานฟอกเงิน นำตัวไปที่ ตม.สงขลา เพื่อเพิกถอนวีซ่าการพำนักอยู่ในประเทศไทย ก่อนควบคุมตัวไปสอบสวนขยายผลต่อที่กรุงเทพฯ

16 ก.ย.2565 รัฐบาลจีน โดยสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้ยื่นคำร้องขอให้รัฐบาลไทยส่งตัว “เตียว ฮุย ฮวด” บุคคลสัญชาติมาเลเซีย เป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ในความผิดฐานจัดตั้งองค์กรที่ชักจูงและประกอบการขายตรง โดยแอบอ้างเป็นธุรกิจการให้บริการ ให้ผู้เข้าร่วม ชำระเงินค่าบริการหรือซื้อสินค้าเพื่อเข้าเป็นสมาชิก ให้มีการจัดลำดับชั้น ที่มีลักษณะแชร์ลูกโซ่เพื่อขยายฐานผู้เข้าร่วมมากขึ้น เพื่อนำมาคิดคำนวณเป็นค่าตอบแทน

และมีพฤติกรรมชักชวน ข่มขู่ให้ผู้อื่นมาเข้าร่วม หลอกเอาทรัพย์สิน โดยส่งผลกระทบเศรษฐกิจและสังคม ตามประมวลกฎหมายอาญาสาธารณรัฐประชาชนจีน มาตรา 224 วรรค(1) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และโทษปรับ และหากเป็นกรณีที่มีพฤติการณ์ร้ายแรงมีอัตราโทษจำคุก 5 ปีขึ้นไป และโทษปรับ

ทั้งนี้ คำร้องดังกล่าวเป็นไปตาม สนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ความผิดตามคำร้องขอดังกล่าว กฎหมายไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนถือเป็นความผิดอาญามีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และคดียังไม่ขาดอายุความ ทั้งมิใช่เป็นความผิดที่มีลักษณะทางการเมือง หรือ เป็นความผิดทางทหาร และมีการออกหมายจับบุคคลดังกล่าวไว้แล้ว ในประ เทศผู้ร้องขอ โดยความผิดที่ร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน เป็นความผิดตามกฎหมายไทย เทียบได้กับความผิดฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ฉ้อโกงประชาชน และชักชวนบุคคลเข้าร่วมเครือข่ายในการประกอบธุรกิจขายตรง หรือในการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง

โดยตกลงจะให้ผลประโยชน์ตอบแทน จากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ตามพ.ร.ก.การกู้ยืม เงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 4, 5 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 พ.ร.บ.ขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ. 2555 มาตรา 19 ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป

และผู้ถูกร้องขอ ยังไม่เคยได้รับการพิจารณาหรือพิพากษาลงโทษหรือปล่อยตัวสำหรับข้อหาดังกล่าวใน ราชอาณาจักรไทยหรือสาธารณรัฐประชาชนจีนมาก่อน ทั้งทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนยืนยัน ว่า คดียังไม่ขาดอายุความ โดยผู้ร้องขอขอให้ศาลอาญาออกหมายจับผู้ถูกร้องขอแล้ว เมื่อตำรวจจับผู้ถูกร้อง ขอได้ จึงขอให้มีคำสั่งขังผู้ถูกร้องขอไว้ เพื่อส่งข้ามแดนไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามพ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน

มีรายงานระบุ ว่า ก่อนที่จะหลบหนีเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย “เตียว ฮุยฮวด” ถูกกองบัญชาการตำรวจประเทศมาเลเซีย ดำเนินคดีอายัดทรัพย์สินตรวจสอบข้อหาทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่ จากการขายหุ้นธุรกิจในเครือเอ็มบีไอกรุ๊ปให้กับประชาชนในมาเลเซีย และจีน มีการกระทำความผิดที่เข้าข่ายความผิดในกฎหมายแชร์ลูกโซ่ จึงทำให้ไม่กล้าเดินทางกลับประเทศมาเลเซีย

และได้ย้ายฐานมาลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทย ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษบ้านด่านนอก ต. สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ มานานกว่า 10 ปี และมีบริษัทในเครือมากถึง 15 บริษัท ประกอบธุรกิจหลากหลาย ทั้งกิจการโรงแรม สถานบันเทิง สวนสนุก ตลาด ธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และเฟอร์นิเจอร์

นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้างและซื้อกิจการโรงแรมระดับ 5 ดาว 6 โรงแรม และสถานบันเทิงต่าง ๆ กว่า 10 แห่ง รวมทั้งสร้างพระพิฆเนศองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยสูงกว่า 59 เมตร มูลค่า 50 ล้านบาท และสร้างพระพรหมประดับด้วยอัญมณีมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ให้ประชาชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวสักการะบูชาที่เทวสถานพระพิฆเนศบ้านด่านนอก

“เตียว ฮุยฮวด” หรือ “โทนี่ เตียว” ชาวมาเลเซีย ถือเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญที่ทางการมาเลเซียและจีน ประสานเพื่อขอให้ไทยส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวกลับไปให้ประเทศจีนดำเนินคดี มีรายงานว่าขั้นตอนรับตัวผู้ต้องหาจากเรือนจำนำส่งประเทศจีน กระทรวงการต่างประเทศมีคำสั่งกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องการให้ข่าวที่เกี่ยวกับผู้ต้องหา

นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา หลังจีนประกาศแผนปฏิบัติการต่อต้านการฟอกเงิน 2565-2568 โดยประสานความร่วมมือไปยังประเทศต่างๆ ที่มีนักธุรกิจเข้าไปลงทุนฟอกเงินผิดกฎหมาย โดยอ้างยุทธ ศาสตร์ “One Belt one road” ในการทำธุรกิจเพื่อขอรับการยกเว้นภาษีที่ดินจากรัฐบาลท้องถิ่นในประเทศต่าง ๆ

แต่กลับปรากฎในภายหลังว่า มีการทำธุรกิจสีเทาและผิดกฎหมาย จึงทำให้ทางการจีนต้องกวาดล้างกันอย่างเข้มข้น และ “เตียว ฮุยฮวด” อาจเป็นหนึ่งผู้ต้องหารายสำคัญ ที่ถูกนำตัวกลับไปรับโทษตามกฎหมาย

ส่งเตียว ฮุยฮวดไปจีน “เจ้าสัวหมื่นล้าน” มาเลย์ ตามหมายแดงฟอกเงิน

กองการต่างประเทศส่งกลับ “เตียว ฮุยฮวด” เจ้าสัวหมื่นล้านชาวมาเลเซียเจ้าของอาณาจักรเอ็มบีไอกรุ๊ป ขึ้นเครื่องกลับไปดำเนินคดีจีนในข้อหาฟอกเงินตามคำสั่งอัยการสูงสุด ท่ามกลางการคุ้มกันอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ทางการไทยและจีน เผยก่อนนี้เมื่อ ก.ค.65 “บิ๊กโจ๊ก” ตะครุบตัวได้คารังชายแดนใต้ ตามหมายแดงอินเตอร์โพลข้อหาฟอกเงิน แฉพฤติการณ์เป็นที่ต้องการตัวของทั้ง 2 ประเทศ ก่อเหตุระดมทุนสร้างเครือข่าย “แชร์ลูกโซ่” หลอกลวงนักลงทุนทำเจ้าตัวกลับบ้านทั้ง 2 ประเทศไม่ได้ ย้ายมาปักหลักลงทุนทำธุรกิจในเมืองไทยนานร่วม 10 ปี สร้างสาธารณประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะที่ด่านนอกชายแดนไทยมาเลเซียจนชื่อเสียงดังกระฉ่อน

ส่งกลับ “เตียว ฮุยฮวด” เจ้าสัวหมื่นล้านชาวมาเลเซียกลับไปดำเนินคดีที่จีนในคดี “ฟอกเงิน” วันที่ 20 ส.ค.มีรายงานว่า กองการต่างประเทศเข้ารับตัวนายเตียว ฮุยฮวด ชาวมาเลเซีย มหาเศรษฐีนักธุรกิจหมื่นล้านชาวมาเลเซียเจ้าของอาณาจักรเอ็มบีไอกรุ๊ป ข้อหาจัดตั้งองค์กรที่ชักจูงและประกอบสินค้าขายตรง โดยแอบอ้างเป็นธุรกิจการให้บริการ โดยให้ผู้เข้าร่วมชำระเงินค่าบริการหรือสินค้าเพื่อเข้าเป็นสมาชิกที่มีลักษณะแชร์ลูกโซ่ที่ประเทศจีน ถูกจับตามหมายแดงอินเตอร์โพลข้อหาฟอกเงิน นำตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้กับประเทศจีน ตามคำสั่งอัยการสูงสุด

กรณีนี้สืบเนื่องจากศาลอาญามีคำสั่งถึงที่สุดให้ส่งตัวนายเตียว ฮุยฮวด เป็นผู้ร้ายข้ามแดนให้กับทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนภายใน 90 วัน นับแต่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อวันที่ 21 พ.ค. พนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งขยายเวลาการส่งมอบตัวให้แก่สาธารณรัฐประชาชนจีนออกไป ศาลอนุญาตให้ขยายกำหนดไปจนถึงวันที่ 15 พ.ย. สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทยจัดเจ้าหน้าที่มารับตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กำหนดเดินทางเที่ยวบิน CA960 เวลา 19.35 น. นำตัวส่งห้องควบคุมชั่วคราวที่ท่าอากาศ ยานสุวรรณภูมิ จัดเจ้าหน้าที่ร่วมควบคุมตัวผู้ร้ายข้ามแดน และฝ่ายพิธีการเข้าเมืองอำนวยความสะดวกในการตรวจอนุญาตให้ผู้ร้ายข้ามแดนออกจากราชอาณาจักรตามคำสั่งศาล มีรายงานว่ามีการเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินส่งตัวผู้ต้องหาที่ทางการจีนต้องการอย่างกะทันหันเป็นเที่ยวบิน FM 834 กรุงเทพฯ-เซี่ยงไฮ้ สายการบินเซี่ยงไฮ้แอร์ไลน์ ออกเดินทางเวลา 17.34 น.ในวันเดียวกัน ท่ามกลางการอารักขาอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ทางการไทยและจีน

สำหรับนายเตียว ฮุยฮวด ชาวมาเลเซีย เป็นผู้ต้องหาคนสำคัญ ทั้งทางการมาเลเซีย และทางการจีน ประสานทางการไทยขอให้ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวกลับไปให้ประเทศจีนดำเนินคดี มีรายงานว่าขั้นตอนรับตัวผู้ต้องหาจากเรือนจำนำส่งประเทศจีน กระทรวงการต่างประเทศมีคำสั่งกำชับเรื่องให้ข่าวผู้ต้องหา

คดีนี้สืบเนื่องวันที่ 22 ส.ค.65 พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. สมัยเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. นำกำลังตำรวจ สภ.สะเดา จ.สงขลา และ ตม.สงขลา นำหมายแดงองค์การตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพล ตรวจค้นบริษัท เอ็มบีไอ จำกัด เลขที่ 888 ถนนกาญจนวณิชย์ เทศบาลตำบลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา จับกุมนายเตียว ฮุยฮวด หรือเสี่ยวจาง อายุ 56 ปี นักธุรกิจชาวมาเลเซียเจ้าของอาณาจักรเอ็มบีไอกรุ๊ป แจ้งข้อหาความผิดฐานฟอกเงิน นำตัวไปที่ ตม.สงขลา เพิกถอนวีซ่าการพำนักอยู่ในประเทศไทย ก่อนควบคุมตัวไปสอบสวนที่กรุงเทพฯ

เบื้องหลังจับกุมเมื่อปี 65 ตำรวจ ตม.สงขลา ได้รับหมายแดงของอินเตอร์โพลระบุว่า นายเตียว ฮุยฮวด กระทำความผิดในประเทศจีน เมื่อวันที่ 9 พ.ย.63 ระดมทุนสร้างเครือข่ายลักษณะ “แชร์ลูกโซ่” เปิดบริษัทที่ประเทศมาเลเซียสร้างแพลตฟอร์มลักษณะแชร์ลูกโซ่หลอกลวงคนจีนให้สมัครเป็นสมาชิกแบ่งเป็น 8 ระดับ มีการจัดดูงานต่างประเทศ ประชุมระดับผู้นำแล้วจะจ่ายเงินให้สมาชิกตามระดับ มีคนจีนหลงเชื่อสมัครเป็นสมาชิกจำนวนมาก นอกจากนี้ยังถูกหมายจับประเทศมาเลเซีย นายเตียว ฮุยฮวด ถูกดำเนินคดีอายัดทรัพย์สินตรวจสอบข้อหาทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่ จากการขายหุ้นธุรกิจในเครือเอ็มบีไอกรุ๊ปให้กับประชาชนในมาเลเซีย จนธุรกิจในประเทศมาเลเซียและในประเทศจีนไม่สามารถเดินต่อไปได้จึงไม่กลับมาเลเซียและลงทุนทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทยเรื่อยมา พร้อมทั้งสร้างสาธารณประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่เป็นจำนวนมาก

นายเตียว ฮุยฮวด หรือเสี่ยวจาง ปักหลักอยู่ในเมืองไทยนานร่วม 10 ปี มีบริษัทในเครือประกอบกิจการโรงแรม สถานบันเทิง สวนสนุก ตลาด ธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และเฟอร์นิเจอร์ รวมมูลค่านับหมื่นล้านบาท ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษบ้านด่านนอก ต.สำนักขาม พื้นที่กว่า 100 ไร่ สร้างและซื้อกิจการโรงแรมระดับ 5 ดาว 6 โรงแรม และสถานบันเทิงต่างๆกว่า 10 แห่ง รวมทั้งสร้างพระพิฆเนศองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยสูงกว่า 59 เมตร มูลค่า 50 ล้านบาท และสร้างพระพรหมประดับด้วยอัญมณีมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ให้ประชาชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวสักการะบูชาที่เทวสถานพระพิฆเนศบ้านด่านนอก ก่อนหน้านี้ ปี 59 นายเตียว ฮุยฮวด ตกเป็นข่าวพัวพันองค์กรค้ายาเสพติด ภายหลังพิสูจน์แล้วไม่เกี่ยวข้อง แต่สุดท้ายถูกจับกุมส่งกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศจีนในที่สุด

2024.8.18 ตำรวจไซเบอร์ช่วยเหลือแม่ลูก 3 หลังโดนหลอกเปิดบัญชีม้า ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน

ตำรวจไซเบอร์ช่วยเหลือแม่ลูก 3 หลังโดนหลอกเปิดบัญชีม้า ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน

ตำรวจไซเบอร์ช่วยเหลือแม่ลูก 3 หลังโดนหลอกเปิดบัญชีม้า

ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน

.

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 เวลา 10.00 น. มารดาของ นางสาวพลอย อายุ 58 ปี เข้ามาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.1 ว่าบุตรสาวถูกหลอกไปทำงานที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา ในลักษณะเป็นพนักงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดย นางสาวพลอย ได้แอบติดต่อทางแชท LINE ว่าตนโดนหลอกจากการได้ลงข้อมูลตัวเองไว้ในเพจเฟซบุ๊กหางาน และมีนายหน้าติดต่อจ้างตนไปทำงานและให้เปิดบัญชีธนาคารไว้ 3-5 บัญชี เพื่อใช้รับเงินค่าทำงาน แต่เมื่อไปทำงานจริงกลายเป็นขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งขณะที่มารดาเข้ามาพบพนักงานสอบสวน นางสาวพลอย ไม่สามารถกลับมาได้ เนื่องจากถูกกักขัง อยู่ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา

.

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 เร่งสืบสวนกรณีดังกล่าว

.

ต่อมาหลังจากสอบปากคำให้การมารดาของ นางสาวพลอย นั่น พ.ต.ท.เฉลิมพล จุมปูอา หัวหน้าพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.1 ได้ทำการอายัดบัญชีธนาคาร ทั้งหมด 4 บัญชีของ นางสาวพลอย ที่ถูกแก๊งคอลเซนเตอร์ยึดไว้ เพื่อให้ระงับธุรกรรมทางการเงิน จนขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์ ต้องพาตัว นางสาวพลอย ข้ามมาฝั่งไทย

เพื่อติดต่อธนาคาร ทั้งนี้ ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงษ์ ผกก.3 บก.สอท.1 ได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.2 และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.สระแก้ว ให้เฝ้าระวังในพื้นที่อรัญประเทศ จนสามารถ พบ นางสาวพลอยอยู่บริเวณใกล้ๆห้างสตาร์พลาซ่า อรัญประเทศ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2567 เวลาประมาณ 11.00 น. จึงได้เข้าช่วยเหลือ นางสาวพลอย

.

และเมื่อบ่ายวันที่ 18 สิงหาคม 2567 ที่กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 พล.ต.ต. ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ปรีดา คงจัด รอง ผบก.สอท.1,พ.ต.อ. ศุภรฐโชติ จำหงษ์ ผกก. 3 บก.สอท.1 และ พ.ต.ท.เฉลิมพล จุมปูอา หัวหน้าพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.1 พร้อมเจ้าหน้าที่สืบสวน ได้นำตัว นางสาวพลอย หลังถูกหลอกไปเป็นเครื่องมือของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อสแกนใบหน้าในการทำธุรกรรมในการใช้บัญชีของตน หรือเรียกว่าถูกหลอกไปเป็น “บัญชีม้า” กลับมาพบกับครอบครัว พร้อมด้วยความยินดีและซาบซึ้งในการทำงานของตำรวจไซเบอร์ในครั้งนี้ที่สามารถช่วยนางสาวพลอย ออกมาจากขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้อย่างปลอดภัย

.

因2024年8月16日上午10时,58岁的Ploy女士的母亲前来向第一分区派出所侦查人员投诉,称其女儿被骗在波贝(柬埔寨)工作。

2024.8.15 สืบเนื่องจากตำรวจไซเบอร์ ได้รับเบาะแสร้องเรียนจากประชาชน กรณีมีผู้โพสต์ขายวิดีโอคลิปลามกอนาจารออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน X หรือ Twitter ซึ่งบัญชีโซเชียลดังกล่าวมีผู้ติดตามกว่า 3 แสนคน จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ

ตำรวจไซเบอร์รวบดาวทวิตเตอร์(X) พร้อมแฟนหนุ่ม
ถ่ายคลิปหวิวขายออนไลน์ ฟันรายได้กว่า 2 แสนต่อเดือน
.
สืบเนื่องจากตำรวจไซเบอร์ ได้รับเบาะแสร้องเรียนจากประชาชน กรณีมีผู้โพสต์ขายวิดีโอคลิปลามกอนาจารออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน X หรือ Twitter ซึ่งบัญชีโซเชียลดังกล่าวมีผู้ติดตามกว่า 3 แสนคน จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
.
ต่อมา พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.นิพล บุญเกิด ผบก.สอท.2
ส่งเจ้าหน้าที่ออกสืบสวนสอบสวนกรณีดังกล่าว พ.ต.อ.ต่อศักดิ์ ปานกลิ่นพุฒ ผกก.4 บก.สอท.2 จึงนำกำลังชุดสืบสวนลงพื้นที่หาข้อมูลกรณีดังกล่าว
.
จากการสืบสวน ทำให้ทราบว่า บัญชี X ดังกล่าวชื่อ “เรียกหนูว่าเพทาย (ทวิตจริง)” ซึ่งมีจำนวนผู้ติดตามกว่า 3 แสนราย โดยตั้งค่าบัญชีเป็นสาธารณะ ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องกดขอเพิ่มเพื่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าบัญชีดังกล่าว ได้โพสต์วิดีโอคลิปในลักษณะลามกอนาจารหลายคลิป โดยมักเป็นคลิปที่เจ้าของบัญชีเองมีเพศสัมพันธ์กับแฟนหนุ่ม เป็นวิดีโอสั้นๆ ประมาณไม่เกิน 1 นาที เพื่อสร้างความดึงดูดให้ผู้ที่สนใจ ต้องโอนเงินเพื่อดูคลิปฉบับเต็ม
หากลูกค้าโอนเงินแล้ว จะได้เข้ากลุ่มแอปพลิเคชันไลน์ ชื่อ “เรียกหนูว่าเพทาย” ซึ่งเป็นกลุ่มส่วนตัว ต้องผ่านการอนุมัติจากเจ้าของบัญชี จึงจะสามารถเข้ากลุ่มได้ โดยชุดสืบสวนพบว่า ภายในกลุ่มดังกล่าวมีสมาชิกจำนวนมาก และมีการโพสต์คลิปวีดิโอลามกอนาจารอีกจำนวนมาก
.
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ ได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องได้ 2 ราย กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.สอท.2 ได้นำกำลังเข้าจับกุมตัว น.ส.ชัชฎาภา อายุ 21 ปี และ
นายคมจักร อายุ 23 ปี ตามหมายจับ ศาลจังหวัดนนทบุรีที่ จ.700/67 ลงวันที่ 5 ส.ค.67 และศาลจังหวัดนนทบุรีที่ จ.701/67 ลงวันที่ 5 ส.ค. 2567 โดยควบคุมตัวได้ที่ห้องพัก ชั้น 24 ของคอนโดแห่งหนึ่งย่าน
เพชรเกษม ถนนเพชรเกษม แขวงบางแค เขตบางแค กทม.
.
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อหา “เพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้า เพื่อการจ่ายแจก แก่ประชาชน ทำ ผลิต มีไว้ นำเข้า หรือยังให้นำเข้าในราชอาณาจักร ส่งออก หรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ส่งออกหรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พาไป หรือยังให้พาไป หรือทำให้แพร่หลายโดยประการใดๆ ซึ่งเอกสารฯ ลามก และ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ โดยการเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะอันลามก”
.
จากการสอบถาม เบื้องต้นผู้ต้องหารับว่าเคยทำคลิปลักษณะดังกล่าวมาแล้วประมาณ 4 เดือน สามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาทต่อเดือน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

网警调查,有民众投诉,有人通过应用X或Twitter网上售卖色情视频,社交账号有超过30000粉丝,所以他们已经向主管举报。

2024.7.14 ตร.ไซเบอร์รวบผัวเมียปล่อยกู้ดอกโหด ร้อยละ 240 ต่อปี ลูกหนี้ผิดสัญญาโพสต์ประจานตามข่มขู่. สืบเนื่องจากตำรวจไซเบอร์พบเบาะแสความเดือดร้อนของประชาชน ว่ามีนายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบได้โพสต์ประจานลูกหนี้ ทำให้เกิดความอับอายและได้รับความเสียหายจำนวนหลายราย โดยลูกหนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านทั่วไปที่หาเช้ากินค่ำ โดยทราบว่า นายทุนดังกล่าวคิดดอกเบี้ยที่สูงมากถึงร้อยละ 240 ต่อปี นอกจากนี้ ยังมีการยึดทรัพย์สินที่ชาวบ้านต้องใช้ประกอบอาชีพไว้เป็นหลักประกันในการชำระหนี้อีกด้วย เช่น หากต้องการกู้เงิน 30,000 บาทต้องนำรถกระบะมาวางเป็นหลักประกัน เป็นต้น และหากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามที่ตกลง ก็มักถูกประจานหรือถูกตามข่มขู่อีกด้วย

ตร.ไซเบอร์รวบผัวเมียปล่อยกู้ดอกโหด ร้อยละ 240 ต่อปี
ลูกหนี้ผิดสัญญาโพสต์ประจานตามข่มขู่

สืบเนื่องจากตำรวจไซเบอร์พบเบาะแสความเดือดร้อนของประชาชน ว่ามีนายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบได้โพสต์ประจานลูกหนี้ ทำให้เกิดความอับอายและได้รับความเสียหายจำนวนหลายราย โดยลูกหนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านทั่วไปที่หาเช้ากินค่ำ โดยทราบว่า นายทุนดังกล่าวคิดดอกเบี้ยที่สูงมากถึงร้อยละ 240 ต่อปี นอกจากนี้ ยังมีการยึดทรัพย์สินที่ชาวบ้านต้องใช้ประกอบอาชีพไว้เป็นหลักประกันในการชำระหนี้อีกด้วย เช่น หากต้องการกู้เงิน 30,000 บาทต้องนำรถกระบะมาวางเป็นหลักประกัน เป็นต้น และหากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามที่ตกลง ก็มักถูกประจานหรือถูกตามข่มขู่อีกด้วย

ตามนโยบาย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่ให้ความสำคัญกับการปราบปรามหนี้นอกระบบ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดเร่งระดมกวาดล้างผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบโดยเด็ดขาด พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 จึงได้ส่งทีมสืบสวนลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อติดตามพฤติกรรมกลุ่มเจ้าหนี้ที่มีพฤติการณ์ใช้ความรุนแรงในการทวงหนี้ ที่เป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชน จนพบข้อมูลของกลุ่มนายทุนที่กล่าวมาข้างต้น

ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ก.ค.2567 พ.ต.อ.กฤษดา มานะวงศ์สกุล ผกก.1 บก.สอท.5 พ.ต.ท.อุดม อิสโร สว.กก.1 บก.สอท.5 พร้อมชุดสืบสวน พบข้อมูลว่ามีผู้ใช้บัญชี Facebook ชื่อ “นาดา น้องฮันน่า” ได้โพสต์ประจานลูกหนี้โดยใช้ถ้อยคำรุนแรงและเสียหาย จึงได้ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนทราบตัวผู้ที่ใช้บัญชีดังกล่าว ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน และมีพฤติกรรมร่วมกันปล่อยเงินกู้ในจังหวัดกระบี่ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายค้นต่อศาลจังหวัดกระบี่ เข้าตรวจค้นบ้านพักแห่งหนึ่ง ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่

จากการตรวจค้นภายในบ้านพบ นายจรัญ อายุ 47 ปี และ น.ส.นุชรินทร์ อายุ 35 ปี พักอาศัยอยู่ด้วยกันภายในบ้าน และสามารถตรวจยึดของกลาง อาทิเช่น
1.อาวุธปืนพกสั้น ยี่ห้อ Norinco ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก
2.อาวุธปืนพกสั้น แบบลูกโม่ ยี่ห้อสมิทแอนด์เวสสัน ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก
3.รถยนต์กระบะ ยี่ห้อมิตซูบิชิ ไททัน สีดำ จำนวน 2 คัน พร้อมเอกสารการรับจำนำจากลูกหนี้
4.รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีวิค จำนวน 1 คัน พร้อมเอกสารการรับจำนำจากลูกหนี้
5.หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน จำนวน 4 ฉบับ
6.หลักฐานการกู้ยืมเงินของลูกหนี้ ภายในโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหา จำนวน 16 ราย ยอดเงินตั้งแต่ หลักพันถึงหลักแสน คิดอัตราดอกเบี้ยสูงสุด ร้อยละ 240 ต่อปี
7.เงินสด มูลค่า 353,460 บาท

เบื้องต้น น.ส.นุชรินทร์ ยอมรับว่า ตนและสามีได้ปล่อยเงินกู้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่และละแวกใกล้เคียง จ.กระบี่ มาสักระยะหนึ่งแล้ว โดยในการให้กู้ ลูกหนี้ต้องนำทรัพย์สินมาวางเป็นหลักประกัน ซึ่งส่วนมากจะเป็นรถยนต์และอาวุธปืนซึ่งของกลางที่ตำรวจตรวจยึดได้ก็เป็นของลูกหนี้ที่นำมาวางเป็นหลักประกันไว้เช่นเดียวกัน
.
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาทั้งสองว่า “ร่วมกันให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางการให้กู้ยืมเงินโดยมีลักษณะเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ร่วมกันประกอบธุรกิจให้กู้ยืมเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต” ตัวนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.อ่าวนาง จ.กระบี่ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

债务人大多是谋生的普通村民,资本家每年收取240%的高利率,此外,他们还扣押村民用于工作的资产作为偿还债务的抵押品。 ,如果想要借3万泰铢,必须放置一辆皮卡等作为抵押品,并且如果债务人没有按照约定偿还债务,他们也经常受到辱骂或骚扰。

根据警察指挥官托萨克·苏克维蒙 (Torsak Sukwimon) 将军的政策,他强调了压制非法债务的重要性。警察调查局负责调查科技犯罪,由警察中将沃拉瓦特 (Worawat) 领导。泰国皇家武装部队总司令瓦塔那空班查(Wattanakornbancha)已命令其麾下的所有部队加快动员和铲除非法债务犯罪者。普米帕少将第五警察局局长Phattarasriwongchai派出调查组前往南部地区。监察债权人在讨债过程中使用暴力的行为。

2024.7.5 ตำรวจ ปอท. ทลายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติชาวจีน สร้างแอปพลิเคชันปลอม หลอกเหยื่อลงทุนเทรดเงินสกุลดิจิทัล ตามยึดทรัพย์สินกว่า 30 ล้านบาท

ปอท.ทลายแก๊งชาวจีนสร้างแอปฯ ปลอม หลอกเหยื่อลงทุนเทรดเงินดิจิทัล ยึดทรัพย์กว่า 30 ล้าน

ตำรวจ ปอท. ทลายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติชาวจีน สร้างแอปพลิเคชันปลอม หลอกเหยื่อลงทุนเทรดเงินสกุลดิจิทัล ตามยึดทรัพย์สินกว่า 30 ล้านบาท

วันนี้ ( 5 ก.ค.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ภานุภัท กิตติพันธ์ ผกก.1 บก.ปอท. พ.ต.ท.พรเสกข์ เชาวสันต์ สว.กก.1 บก.ปอท. ร.ต.อ.กษิดิศ ดิลกคุณานันท์ รอง สว.กก.1 บก.ปอท. นายวิทยา นีติธรรม ผอ.กองกฎหมาย และ โฆษกประจำ ปปง. นายอนุรักษ์ บุญแสวง อดีต นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ดร.ปริญญา เธียรวร นักลงทุน ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ “ทลายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ Lock Star” เครือข่ายหลอกลงทุนออนไลน์ หรือไฮบริดสแกม (Hybrid Scam) ได้ผู้ต้องหาจำนวน 6 ราย ประกอบด้วย นายจีเว่ย เกา สัญชาติจีน อายุ 29 ปี นายจู เฉินสัญชาติจีน อายุ 28 ปี นายธนโชติ อายุ 33 ปี น.ส.ชณัฐธิษา อายุ 33 ปี นายศิวา อายุ 33 ปี และ น.ส.ชลดา อายุ 27 ปี ตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ข้อหา “ร่วมกันอั้งยี่, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันหลอกลวงโดยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, สมคบฟอกเงิน และ ร่วมกันฟอกเงิน”

พล.ต.ต.อธิป กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายว่าถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงให้ลงทุนสกุลดิจิทัล (Cryptocurrency) ผ่านเว็บไซต์ชื่อ Tidex ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ปลอมขึ้นมาทั้งหมด อ้างให้ผลตอบแทนสูง จนมีผู้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ โดยแผนประทุษกรรมของกลุ่มคนร้ายจะหลอกให้ผู้เสียหายติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมที่สร้างขึ้นมา เมื่อผู้เสียหายโอนเงินเข้ามาคนร้ายก็จะทำการอัพเดตยอดเหรียญดิจิทัลที่แสดงในแอปพลิเคชันทุกครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนที่โอนเข้าไป ทำให้ดูน่าเชื่อถือ แต่เมื่อผู้เสียหายต้องการถอนเงินออกมา กลุ่มคนร้ายก็จะอ้างติดปัญหาเรื่องภาษี ก่อนหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปเพิ่มอีก ด้วยความที่อยากได้เงินกลับคืนจึงยอมทำตามกลายเป็นสูญเงินเพิ่มขึ้นไปอีก รวมยอดเงินที่โอนเข้าไปรวมกว่า 22.4 ล้านบาท

ด้าน พ.ต.อ.ภานุภัท กล่าวว่า หลังรับเรื่องจึงเร่งตรวจสอบเส้นทางการเงินคนร้ายกลุ่มนี้ ทราบว่า หลังเหยื่อโอนเงินเข้ามาคนร้ายก็จะนำเงินดังกล่าวไปซื้อเหรียญดิจิทัลแล้วโอนต่อไปยังกระเป๋าเหรียญดิจิทัลส่วนตัว หรือ Private wallet กว่า 20 กระเป๋า เพื่อเลี่ยงถูกตรวจสอบจากนั้นก็จะโอนเหรียญดิจิทัลไปรวมที่กระเป๋าเหรียญดิจิทัลกลางของคนร้าย ก่อนที่จะมีการเทขายเหรียญดิจิทัลเพื่อเปลี่ยนจากเหรียญดิจิทัลให้กลายเป็นเงินบาทไทย

พ.ต.อ.ภานุภัท กล่าวต่อว่า จากแนวทางสืบสวนพบว่าคนร้ายกลุ่มนี้ทำกันในรูปแบบขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน ตั้งแต่หัวหน้า ทำหน้าที่สั่งการ, กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ทำหน้าที่ติดต่อพูดคุยและหลอกลวงเหยื่อ, กลุ่มนายหน้า จัดหาบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า รวบรวมบัญชีต่าง ๆ นำไปมอบให้กับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์, กลุ่มบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า ทำหน้าที่รับจ้างเปิดบัญชีและกระเป๋าเงินดิจิทัล และ กลุ่มที่ทำหน้าที่ฟอกเงิน โดยนำเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงไปซื้อทรัพย์สินมีค่า และอสังหาริมทรัพย์ ต่าง ๆ

พ.ต.ท.พรเสกข์ กล่าวว่า หลังสืบทราบพยานหลักฐานการกระทำผิดแน่ชัด จึงเร่งรวบรวมขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งคนจีนและคนไทย ที่เป็นกลุ่มระดับสั่งการ, ผู้บริหารดูแลเรื่องฟอกเงิน และรับผลประโยชน์ จำนวน 6 ราย โดยนำกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 4 จุด ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร เชียงราย นนทบุรี และ ปทุมธานี จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 6 ราย พร้อมตรวจยึดบ้านหรู 1 หลัง มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท, รถยนต์ 2 คัน, รถจักรยานยนต์ 2 คัน, เงินสดกว่า 4 ล้านบาท, สร้อยคอทองคำ, นาฬิกาหรู, กระเป๋าแบรนเนมด์, คอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก, โทรศัพท์มือถือ และ เหรียญดิจิทัลสกุลต่างๆ มูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท

ตร.-อสส.-ปปง. ร่วมทลายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ รวบนักธุรกิจเบื้องหลัง Call Center หลอกลงทุน

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ตรวจค้นเป้าหมาย 4 จุด ในกรุงเทพมหานคร เชียงราย นนทบุรี ปทุมธานี จับกุมผู้ต้องหากลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเครือข่ายหลอกลงทุนออนไลน์ ไฮบริดสแกม (Hybrid Scam) ตั้งแต่ระดับหัวหน้าเครือข่ายที่มีหน้าที่ควบคุมสั่งการศูนย์ปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และคนที่ดูแลเรื่องฟอกเงิน จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 6 ราย ดังนี้ MR.ZHIVEI GAO หรือ นายจีเว่ย เกา (สัญชาติจีน), MR.JUE CHEN หรือ นายจู เฉิน (สัญชาติจีน), นายธนโชติฯ, นางสาวชณัฐธิษาฯ, นายศิวาฯ และ น.ส.ชลดาฯ ในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ ร่วมกันฟอกเงิน”

ตามที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายว่าถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงให้ลงทุน โดยมีการโพสต์ข้อความสาธารณะลักษณะชักชวนให้เข้าไปลงทุนในเงินสกุลดิจิทัล (Cryptocurrency) ผ่านเว็บไซต์ชื่อ Tidex เสนอให้ผลตอบแทนสูง ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปลงทุน ต่อมาพบว่าไม่มีการลงทุนจริง และไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นกว่า 22.4 ล้านบาท จากนั้นกลุ่มคนร้ายปิดเว็บไซต์ไป ผู้เสียหายจึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ร่วมกับ อสส. และ ปปง. สืบสวนเส้นทางการเงิน และเส้นทางของเหรียญดิจิทัลที่ได้จากการฉ้อโกงผู้เสียหายพบว่า เป็นการกระทำความผิดในลักษณะขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยจะแบ่งเป็น (1) หัวหน้า ทำหน้าที่ สั่งการ, (2) กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ทำหน้าที่ติดต่อพูดคุยและหลอกลวงเหยื่อ, (3) กลุ่มนายหน้า จัดหาบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า รวบรวมบัญชีต่างๆ นำไปมอบให้กับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์, (4) กลุ่มบัญชีม้าและกระเป๋าวอลเล็ตม้า ทำหน้าที่รับจ้างเปิดบัญชีและกระเป๋าเงินดิจิทัล (5) กลุ่มที่ทำหน้าที่ฟอกเงิน โดยนำเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงไปซื้อทรัพย์สินมีค่า และอสังหาริมทรัพย์ ต่าง ๆ

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการ โดยเข้าตรวจค้นและจับกุมผู้ร่วมขบวนการเป็นชาวจีนและชาวไทย สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งสิ้นจำนวน 6 ราย เป็นชาวจีน 2 ราย ชาวไทย 4 ราย และตรวจยึดทรัพย์สินเพื่อตรวจสอบ เป็นของมีค่าจำนวนหลายรายการ อาทิเช่น บ้านหรู จำนวน 1 หลัง มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท, รถยนต์ จำนวน 2 คัน, รถจักรยานยนต์ จำนวน 2 คัน, เงินสด (เงินไทยและต่างประเทศ) รวมมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท, สร้อยคอทองคำ, นาฬิกาหรู, กระเป๋าแบรนเนมด์, คอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก, โทรศัพท์มือถือ และ เหรียญดิจิทัลสกุลต่างๆ มูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. และ พ.ต.อ.ภานุภัท กิตติพันธ์ ผกก.1 บก.ปอท. ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ปิยเดช แก้วแฝก, พ.ต.ท.อารัติ พายทอง, พ.ต.ท.เอกคณิต เนตรทอง ,พ.ต.ท.พรเสกข์ เชาวสันต์, พ.ต.ต.หญิง หทัยชนก อินทรวิจิตร, พ.ต.ต.เริงศักดิ์ อุปลา สว.กก.1 บก.ปอท และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ดำเนินการ

又是高回报数字货币骗局!中泰跨国诈骗团伙6高管被捕 扣押3000万资产

泰国皇家警察中央调查局(CIB)举行新闻发布会,公布对一个中国人为首的混合诈骗团伙的突袭行动,捣毁了跨国犯罪组织Lock Star,6名电诈团伙管理成员被逮捕,缴获约3000万泰铢的资产。

泰国中央调查局通过技术犯罪抑制部门(CDC)联合捣毁了跨国犯罪组织、网络投资欺诈和混合诈骗(Hybrid Scam)团伙,逮捕了负责指挥和运营电诈中心的管理人员。

泰国技术犯罪打击部门指挥官Atip Pongsivapai表示,警方在曼谷、清莱、暖武里府和巴吞他尼府的四个地点,突袭了被称为“Lock Star”的混合诈骗团伙,逮捕了两名中国人和四名泰国人。

被逮捕的6人均在在电诈团伙内担任指挥和管理职务,2名中国人分别是29岁的高某某和28岁的陈某。泰国嫌疑人为 Thanchote(33 岁)、Chanatthiya(33 岁)、Siva(33 岁)和 Cholada(27 岁)。

他们被指控非法串谋参与跨国犯罪组织、公共欺诈、向计算机系统输入虚假信息以及洗钱。

泰国警方早前收到受害者的报案,被骗通过一款名为Tidex的虚假应用程序投资数字货币,该应用程序承诺高额回报。骗局包括说服受害者安装应用程序并转账,然后更新应用程序中显示相应的数字货币金额,使其看起来可信并诱惑进一步投资。

“但是受害者却无法再取出资金,因为骗子声称存在税务问题,导致受害者在应用程序中添加更多资金,”指挥官说。

骗子们随后将这些钱转移到他们的私人数字钱包,以避免调查,然后再出售加密货币并将其兑换成泰铢,完成洗钱。

在逮捕行动中,警方扣押了犯罪团伙一栋价值超过1200万泰铢的豪宅、两辆豪车、两辆摩托车、超过400万泰铢的现金、金项链、奢侈手表、名牌包、电脑、笔记本电脑、智能手机和价值约200万泰铢的各种数字货币。

2024.6.28 จับแก๊งคอลฯจีนตั้งฐานในเชียงใหม่ โทรฯหลอกเหยื่อโอนเงินจากประเทศจีน ตร.ไซเบอร์ แถลงทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนข้ามชาติตั้งฐานในเชียงใหม่ โทรฯหลอกเหยื่อโอนเงินจากประเทศจีน

จับแก๊งคอลชาวจีน-พม่า เปิดพูลวิลล่าเชียงใหม่ โทรหลอกเหยื่อแดนมังกรโอนเงิน

จับแก๊งคอลชาวจีน-พม่า เปิดพูลวิลล่าเชียงใหม่ฐานบัญชาการ โทรหลอกเหยื่อแดนมังกรโอนเงิน สร้างสตอรี่ให้ลงทุนประกันเงินออมระยะยาว

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 มิถุนายน ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. ,พล.ต.ต.จิตติพล ผลพฤกษา ผบก.สอท.4 พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 พ.ต.อ.บัญชา ศรีสุข รอง ผบก.สอท.5 พ.ต.อ.อุกฤช ศรีนิติวรวงศ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.5 สั่งการนำหมายค้นศาลจังหวัดเชียงใหม่ตรวจค้น Brick Box Pool Villa & Café ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 65 หมู่ 4 ต.ป่าเมี่ยง อ.ดอยสะเก็ด จว.เชียงใหม่ จับกุมผู้ต้องหา 13 ราย สัญชาติจีน 7 คน สัญชาติเมียนมา 6 คน 1.MR. LUO. FUREN อายุ 23 ปี สัญชาติจีน 2.MISS XIE. YEPING อายุ 43 ปี สัญชาติจีน 3.MR.XIE. JUN อายุ 42 ปี สัญชาติจีน 4.MISS HUANG XIU YUAN อายุ 32 ปี สัญชาติจีน 5.MR. HUANG DONGLIN อายุ 35 ปี สัญชาติจีน 6.MR.XIE WEIQIANG อายุ 24 ปี สัญชาติจีน 7.MR.XIE. XIN อายุ 26 ปี สัญชาติจีน 8.MISS CHIN LAN อายุ 21 ปี สัญชาติเมียนมาร์ 9.MISS RUN MAY YIN อายุ 30 ปี สัญชาติเมียนมาร์ 10.MISS YAN KYAIN LAR อายุ 22 ปี สัญชาติเมียนมาร์ 11.MISS SHOUT AE อายุ 24 ปี สัญชาติเมียนมาร์ 12.MISS SWAN KYIN อายุ 21 ปี สัญชาติเมียนมาร์ 13.MISS MAR SEE SHAN อายุ 21 ปี สัญชาติเมียนมาร์ พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ พร้อมซิมการ์ดจีน 90 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 9 เครื่อง เอกสารเขียนด้วยลายมือภาษาจีน 1 ชุด บัญชีของกลาง

พล.ต.ท.วรวัฒน์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากกองบังคับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 4 และ 5 ได้ร่วมกันสืบสวนขยายผลจากการจับกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนในพื้นที่ภาคใต้ โดยพบว่ามีการใช้อุปกรณ์เกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์ และกลุ่มคนจีนทำงานลักษณะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ อ.ดอยสะเก็ด จว.เชียงใหม่ จึงได้ทำการสืบสวนตรวจสอบสถานที่พูลวิลล่า Brick Box Pool Villa & Café จว.เชียงใหม่ มีกลุ่มต่างชาติสัญชาติจีน และกลุ่มคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาร์ 10-15 คน จึงได้ตรวจสอบข้อมูลทางเทคนิค และเฝ้าสังเกตการณ์พบว่าสถานที่พักอาศัยกลุ่มชาวจีน มีลักษณะปกปิดเฉพาะกลุ่มคนจีนพักอาศัย มีรั้วกั้น มีกล้องวงจรปิด และมีการเปิดไฟส่องสว่างช่วงกลางคืน เชื่อว่ามีการทำงานของกลุ่มแก๊งคนจีน เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายค้นศาลจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเข้าทำการตรวจค้นภายใน พูลวิลล่า4 Brick Box Pool Villa & Café จว.เชียงใหม่ พบชาวต่างชาติสัญชาติจีน และตางด้าว สัญชาติเมียนมาร์ นั่งทำงานอยู่ภายในห้องพบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 1 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ทบุ๊ค 8 เครื่อง และโทรศัพท์มือถือ 94 เครื่อง และเอกสารภาษาจีน 3 แผ่น

จากการสอบสวนผู้ต้องที่ถูกจับให้การว่า ได้ทำหน้าที่กันเป็นกลุ่มร่วมกันหลอกลวงคนจีนที่ประเทศจีน ให้ลงทุนประกันเงินออมระยะยาว ทุกคนจะมีโทรศัพท์ประจำตัวคนละ 3 เครื่อง

จากนั้นจะมีคนส่งรายชื่อคนจีนมาให้ทางแอปพลิเคชั่นเทเลแกรมในเครื่องโทรศัพท์ของแต่ละคน โดยแต่ละคนมีหน้าที่ติดต่อกับลูกค้าตามที่ได้รายชื่อมา ซึ่งเป็นรายชื่อของผู้ที่ทำประกันภัยซึ่งมีอยู่จริง จากนั้นใช้โทรศัพท์ที่มีประจำตัวแต่ละคน ที่มีอีกสองเครื่องโทรไปหลอกถามคนจีนที่ประเทศจีนว่า ประกันภัยอายุแล้ว ตอนนี้สนใจจะทำประกันต่อหรือจะยกเลิก ถ้าซื้อต่อจะมีราคาโปรโมชั่น มีจ่ายค่าทำประกันในราคา 800-2000 หยวน ถ้าหากมีลูกค้าสนใจก็จะบอกลูกค้าว่าจะหักเงินผ่านบัญชีอัตโนมัติ ถ้าหากไม่สนใจก็จะแจ้งให้คนที่ถูกหลอกทราบว่าจะมีพนักงานติดต่อกลับไปเพื่อกรอกข้อมูลส่วนตัวของผู้ที่ถูกหลอกสำหรับใช้ยกเลิก

จากนั้นจะส่งข้อมูลของผู้ที่สนใจหรือไม่สนใจเข้าไปยังผู้ต้องหาอีกกลุ่มหนึ่งผ่านแอปพลิเคชั่นเทเลแกรม ทำหน้าที่รับช่วงต่อซึ่งจะติดต่อกับคนจีนที่ไม่สนใจทำประกันภัย โดยแจ้งว่าเป็นประชาสัมพันธ์ของเว็บไซต์ จากนั้นก็จะส่งรายละเอียดการทำประกันภัย เมื่อถึงขั้นตอนการชำระเงินเพื่อทำประกันภัย ก็จะส่งต่อให้กับผู้ร่วมกระทำความผิดอีกกลุ่มหนึ่ง และส่งข้อมูลให้ในไลน์กลุ่มแอปพลิเคชั่นเทเลแกรม โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ ชื่อ teng xun wei bao แจ้งให้ผู้ถูกหลอก ทราบว่า หากยกเลิกไม่ทำประกันภัยต่อก็จะถูกหักเงินอัตโนมัติ ประมาณเดือนละ 100-300 หยวน จากนั้นจะขอข้อมูลจากลูกค้าเพื่อยกเลิกการทำประกันภัย พร้อมกับส่งข้อมูลการเป็นเจ้าหน้าที่ จากนั้นขอรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อนามสกุล เบอร์โทรศัพท์ หมายเลขบัตรประชาชนของลูกค้า เมื่อได้มาแล้วก็จะส่งข้อมูลให้กับผู้ร่วมกระทำผิดอีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อดูดเงินจากบัญชีของเหยื่อ

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตํารวจจึงแจ้งข้อหาร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันเป็นซ่องโจร ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน จึงควบคุมตัวพร้อมของกลาง นำตัวส่งพนักงานสอบสวนบก.สอท.4 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ด้านพล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท.กล่าวว่า แก๊งนี้คาดว่าจะหลอกลวงผู้เสียหายวันนับ 10 รายความเสียหายวันละกว่าล้านบาท ขณะนี้พบตัวผู้เสียหายชาวจีนชัดเจน 2 ราย แต่คาดว่าจะมีผู้เสียหายทั่วประเทศจีนทั้งหมดกว่า 20 ราย ซึ่งกรณีนี้ทางตำรวจไซเบอร์จะเดินทางไปประสานงานกับทางการจีนต่อไป ทั้งนี้ หากพบว่ามีชาวต่างชาติที่ทำงานในลักษณะน่าสงสัย เช่น มีการแบ่งห้อง มีการใช้อินเทอร์เน็ต หรือมีการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าเขาที่ไม่น่าเป็นไปได้ ขอให้แจ้งมายังศูนย์AOC 1441 เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าสืบสวนการกระทำความผิดและจับกุมต่อไป

จับแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนตั้งฐานในเชียงใหม่ หลอกคนจีนลงทุน

ตำรวจไซเบอร์จับเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์จีนข้ามชาติตั้งฐานใน จ.เชียงใหม่ โทรหลอกกลุ่มเป้าหมายชาวจีนลงทุนประกันเงินออม

วันนี้ (28 มิ.ย.2567) เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 4 (สอท.4) บุกเข้าตรวจค้นที่พักลักษณะเป็นพูลวิลล่าแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ หลังขยายผลจากผู้ต้องหาลักลอบขายเครื่องแปลงสัญญาณในพื้นที่ จ.พัทลุง จนทราบว่ามีรายชื่อลูกค้าเป้าหมายปลายทางคือ จ.เชียงใหม่

เมื่อสืบสวนจนทราบว่า มีกลุ่มชาวจีนเปิดที่พักอาศัยทำเป็นฐานปฎิบัติการคอลเซ็นเตอร์หลอกชาวจีนโอนเงิน จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่ เข้าตรวจค้นจนสามารถควบคุมตัวชาวจีนได้ 7 คน แรงงานชาวเมียนมา 6 คน ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี

นอกจากนี้ยังยึดของกลางเป็นกลางโทรศัพท์มือถือ พร้อมซิมการ์ดประเทศจีน 90 อัน, คอมพิวเตอร์ 9 เครื่อง, เอกสารเขียนด้วยลายมือภาษาจีน 1 ชุด, บัญชีธนาคารประเทศจีน, อุปกรณ์แปลงสัญญาณโทรศัพท์, อุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้กระทำความผิดรวมกว่า 100 รายการ และสินค้าหนีภาษีจำนวนมาก

จากการซักถามผู้ต้องหา เบื้องต้นรับสารภาพว่าทำงานในลักษณะของเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์จริง หลอกลวงกลุ่มเป้าหมายในประเทศจีนให้ลงทุนประกันเงินออมระยะยาว โดยติดต่อกับกลุ่มเป้าหมายตามที่ได้รายชื่อมาจากข้อมูลผู้ที่เคยทำประกันไว้ในประเทศจีน และมีการวางแผนทำงานเป็นขั้นตอน

หากกลุ่มเป้าหมายปฎิเสธทำประกันจะให้อีกกลุ่มหนึ่งติดต่อกลับ พร้อมแจ้งว่าจะมีการหักเงินบัญชีอัตโนมัติ โดยหลอกเอาข้อมูลขื่อ เลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ ให้อีกกลุ่มหนึ่งดูดเงินจากบัญชีธนาคาร เบื้องต้นพบผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 20 คนในประเทศจีน เตรียมประสานทางการจีนเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้เสียหายมาดำเนินคดีกับผู้ต้องหากลุ่มนี้

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ตำรวจไทยจะไม่ยอมให้ใครมาใช้ประเทศไทยเป็นฐานคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งถือว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งต้องประสานงานกับสำนักงานอัยการสูงสุดมาร่วมสอบสวนทางคดีด้วย

เบื้องต้นแจ้งข้อหา ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันเป็นอั้งยี่ซ่องโจร, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และอีกหลายข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

数名中国公民被捕!泰国警方破获跨国电信诈骗集团

6月28日,在曼谷Muang Thong Thani国家警察总局培训和研讨大楼,科技犯罪调查局局长沃拉瓦塔纳警中将及相关警察召开新闻发布会,通报了突袭清迈基地的跨国中国诈骗集团通过电话诱导中国受害者汇款的案件。

根据1月10日的行动,沃拉瓦塔纳警中将指派副局长普米帕警少将,带领警察和国家广播电视委员会工作人员,持有博他仑府法院的搜查令,突袭位于该府的一社区(万华南村)的一家公司。行动成功抓捕了一名涉嫌非法销售VoIP GSM Gateway设备的嫌疑人。这些设备常被诈骗集团用来转换手机信号,以联系受害者并进行诈骗。

在此次突袭行动中,科技犯罪调查局第五分局分析新闻和特殊工具部门发现了重要信息,并将调查范围扩大至南部地区,发现这些设备与跨国电信诈骗集团有联系。这些诈骗集团主要由中国籍和缅甸籍人员组成,常在清迈府Doi Saket区活动。
进一步调查和潜伏在当地的线人信息显示,位于清迈府Doi Saket区Pa Miang村4组的一座池畔别墅被当作诈骗集团的藏匿据点。据了解,这座别墅内住着大约10到15名外籍人员,包括中国籍和缅甸籍。这些人的活动非常隐秘,别墅周围设有围栏和监控摄像头,并且夜间灯火通明。

随后,警方联合突袭了该基地。在搜查过程中,发现了7名中国籍和6名缅甸籍嫌疑人,共计13人。现场查获了1台台式电脑、8台笔记本电脑、94部手机,以及3张手写的中文文档和其他电信诈骗设备,共计104件物品。此外,还发现了大量走私进口货物。

初步讯问显示,嫌疑人承认他们从事电信诈骗活动,主要通过电话诈骗中国受害者投资长期保险。每人持有3部手机,并通过Telegram与受害人联系,骗取其个人信息和资金。

警方最终以涉嫌“参与跨国犯罪组织、参与黑帮活动、参与犯罪团伙、冒充他人进行诈骗、以虚假或伪造的计算机数据进行诈骗”等罪名,将这些嫌疑人移交至第4分局处理。同时,警方正在继续调查和搜集证据,以便进一步抓捕与该案有关的其他嫌疑人。

2024.6.24 ดีเอสไอ เตรียมส่งตัว “ชนินทร์ เย็นสุดใจ” ต่ออัยการในวันนี้ (24 มิ.ย.67) คดีฉ้อโกง STARK หลังหนีออกนอกประเทศไปกว่า 8 เดือน และถูกควบคุมตัวได้แล้ว “ทวี สอดส่อง” ยันการสอบสวนต้องรัดกุม รอบคุม เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน ต้องสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับคืนมาให้ได้

ดีเอสไอ ส่งตัว ชนินทร์ คดีฉ้อโกง STARK ให้อัยการวันนี้ หลังถูกคุมตัวถึงไทยแล้ว

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -24 มิ.ย. 67 9:37: น.

ดีเอสไอ เตรียมส่งตัว “ชนินทร์ เย็นสุดใจ” ต่ออัยการในวันนี้ (24 มิ.ย.67) คดีฉ้อโกง STARK หลังหนีออกนอกประเทศไปกว่า 8 เดือน และถูกควบคุมตัวได้แล้ว “ทวี สอดส่อง” ยันการสอบสวนต้องรัดกุม รอบคุม เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน ต้องสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับคืนมาให้ได้

พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รักษาราชการแทนอธิบดี นำคณะพนักงานสอบสวนกองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน เจ้าหน้าที่กองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กองปฏิบัติการพิเศษ พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ได้ควบคุมตัวนายชนินทร์ เย็นสุดใจ กรรมการบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ซึ่งเป็นผู้ต้องหารายสำคัญที่หลบหนีหมายจับไปต่างประเทศ ตั้งแต่กลางปี 2566

การจับกุมนายชนินทร์ครั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ประสานงานกับทางการสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (AUE) ให้ส่งตัวนายชนินทร์ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ดีเอสไอร้องขอไปยังองค์กรตำรวจสากล (INTERPOL) ให้ดำเนินการติดตามส่งตัว เพื่อดีเอสไอ จะได้นำตัวส่งพนักงานอัยการเพื่อส่งฟ้องตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยืนยันว่า การดำเนินการได้ตัวนายชนินทร์ เป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายทุกประการ และเป็นการดีที่ผู้ต้องหาจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความผิดถูก ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้กำกับให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการสอบสวนอย่างรอบคอบและรัดกุม ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และเรื่องนี้เป็นคดีเกี่ยวกับตลาดทุนที่ประชาชนและทุกภาคส่วนให้ความสนใจ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดทุนของประเทศให้กลับคืนมา

ทั้งนี้พนักงานดีเอสไอ จะส่งตัวนายชนินทร์ ไปยังอัยการ ในวันที่ 24 มิ.ย. 67 โดยคดีดังกล่าว พนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเสษ มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหารวม 11 ราย เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.66 ในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพยืและตลาดหลักทรัพย์ฯ ฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวนกฎหมายอาญาและฐานฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

ด้านสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ผู้บริหาร ก.ล.ต. รวมถึง กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปร่วมด้วยการควบคุมตัวนายชนินทร์ หลังถูกจับกุมตัวได้โดยหน่วยงานของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ตามที่รัฐบาลไทยร้องขอ สืบเนื่องจากคดีที่ ก.ล.ต. กล่าวโทษกรณีตกแต่งงบการเงินของ STARK เปิดเผยข้อความอันเป็นเท็จในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และกระทำโดยทุจริตหลอกลวง ซึ่งการดำเนินการกรณีนี้จะมีการควบคุมตัวที่กรมสอบสวนคดีพิเศษก่อนจะถูกส่งตัวให้พนักงานอัยการส่งฟ้องต่อศาลอาญาต่อไป

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ประสานงานและให้ความร่วมมือกับ DSI สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานอัยการสูงสุด รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ และจะประสานและให้ความร่วมมือในการทำงานแบบบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ต่อไป

ส่งฟ้อง “ชนินทร์” คดีฉ้อโกง STARK เมินยื่นประกันพร้อมสู้สุดตัวยันไม่ใช่คนได้ประโยชน์
24 มิ.ย. 67 15:51น.

พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่คดีพิเศษปฏิบัติการ (ปพ.) และเจ้าหน้าที่ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว DSI ควบคุมตัวนายชนินทร์ เย็นสุดใจ อดีตประธานกรรมการ บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) จำเลยรายสำคัญในคดีทุจริตบริษัท สตาร์คฯ จากห้องควบคุมตัวผู้ต้องขัง ชั้น 6 ออกจากอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อเดินทางไปให้อัยการส่งฟ้อง
ทั้งนี้ ระหว่างการคุมตัวผู้ต้องหาออกจากอาคาร ผู้สื่อข่าวหลากหลายสำนักที่ได้ปักหลักติดตามความเคลื่อนไหวตั้งแต่ช่วงเช้าได้รุดสอบถาม ว่า มีอะไรอยากจะกล่าวหรือไม่ ในกรณีที่ถูกนำตัวสั่งฟ้อง และเป็นผู้ต้องหารายสุดท้ายแล้ว รวมถึงได้มีการร้องขอความเป็นธรรมหรือไม่ และถามอีกว่ากรณีที่มีบางคนไม่ถูกสั่งฟ้อง คิดเห็นอย่างไร และถูกข่มขู่คุกคามชีวิตจริงหรือไม่ จะต่อสู้คดีหลังจากนี้อย่างไรบ้าง ซึ่งเจ้าตัวเงียบไม่ตอบคำถาม

เมื่อถามว่าคิดเห็นอย่างไรที่นายชินวัฒน์ อัศวโภคี อีกหนึ่งอดีตผู้บริหารคนสำคัญของ STARK ไม่ถูกอัยการสั่งฟ้อง นายชนินทร์ ได้หันมามองแต่ไม่ได้ตอบคำถาม ก่อนถูกคุมตัวขึ้นรถทีทันที โดยมีเจ้าหน้าที่ DSI ประกบข้างมุ่งหน้าไปยังสำนักงานอัยการคดีพิเศษ ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ เพื่อนำตัวส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการตามขั้นตอนต่อไป

นายวิรุฬห์ ฉันท์ธนนันท์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาในความผิดเกี่ยวกับการเป็นกรรมการหรือผู้บริหารร่วมกันทำงบดุลหรือบัญชีอันเป็นเท็จในเรื่องผลกำไร ฉ้อโกงประชาชนชี้ชวนหลอกลวงด้วยการแสดงความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับผลกำไรต่อประชาชนและสถาบันการเงิน ทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง ยักยอกในฐานะเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น สมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นลักษณะความผิดเดียวกับผู้ต้องหาที่ยื่นฟ้องไปก่อนหน้านี้

ท้ายคำร้อง หากจำเลยขอปล่อยตัวชั่วคราว โจทก์ขอคัดค้านเนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยกับพวกมีพฤติการณ์กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจโดยดำเนินการเป็นกระบวนการและก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนเป็นจำนวนมากและทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง และเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมซึ่งเป็นความผิดจำนวนมาก โดยจำเลยได้เคยหลบหนีระหว่างสอบสวนมาแล้ว และคดีมีอัตราโทษสูงเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับจำเลยภายในกำหนดอายุความตามกฎหมายแล้ว หากจำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์ประสงค์จะสืบพยานประกอบคำรับสารภาพด้วย

ขณะที่ นายเรืองศักดิ์ สุขเสียงศรี ทนายความของนายชนินทร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้อัยการได้ส่งฟ้องนายชนินทร์แล้ว และนายชนินทร์ไม่ประสงค์จะขอประกันตัว โดยจะขอต่อสู้คดีในชั้นศาลว่าไม่ใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากการกระทำผิดในคดีดังกล่าว

คุม “ชนินทร์” ฝากขังคดีหุ้น STARK เจ้าตัวไม่ยื่นประกัน
24 มิ.ย. 67 20:33

DSI คุมตัว “ชนินทร์” นำส่งตัวต่ออัยการสูงสุดและศาลอาญา ในคดีหุ้นสตาร์ค ขณะที่ผู้เสียหายรวมตัวเรียกร้องให้ขยายผลสอบสวนเพิ่มเติม หวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม ด้านทนายความยืนยันชนินทร์ไม่ขอประกันตัว พร้อมสู้คดี
วันนี้ (24 มิ.ย.2567) ผู้เสียหายคดีทุจริตหุ้นสตาร์คฯ รวมตัวกว่า 50 คน ที่บริเวณหน้าสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อยื่นข้อเรียกร้องไม่ให้ศาลอาญาพิจารณาอนุญาตประกันตัวนายชนินทร์ เย็นสุขใจ อดีตผู้บริหารบริษัทสตาร์คฯ

ผู้เสียหาย ระบุว่า ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดีดังกล่าว เนื่องจากที่ผ่านมาดำเนินคดีเพียงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ แต่ระดับสั่งการถูกดำเนินคดีน้อยมาก แม้จับกุมตัวนายชนินทร์ได้แล้ว แต่ข้อมูลการสืบสวนสอบสวนยังไม่สามารถโยงไปถึงตัวผู้บริหารรายอื่น ๆ และเจ้าหน้าที่ยังจะส่งสำนวนเดิมตั้งแต่ต้นปี โดยไม่มีการสืบสวนต่อ

ทั้งนี้ ผู้เสียหาย ตั้งข้อสังเกตว่าจากกรณีที่ทนายความของนายชนินทร์ เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ ว่า กรณีของนายชินวัฒน์ อัศวโภคี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารของบริษัทสตาร์คฯ ไม่มีคำสั่งฟ้อง ยังไม่มีความผิดและถูกกันไว้เป็นพยาน แต่ผู้เสียหายมองว่า ผู้ที่ร่วมกระทำความผิด โดยลงลายมือชื่อในงบการเงินที่เป็นเอกสารเท็จ ต้องได้รับโทษด้วยหรือไม่

ขณะที่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ควบคุมตัวนายชนินทร์ มาที่สำนักงานอัยการสูงสุด ก่อนจะเดินทางไปศาลอาญา เพื่อยื่นฟ้องในคดีดังกล่าว และพิจารณาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ โดยนายเรืองศักดิ์ สุขเสียงศรี ทนายความ ยืนยันว่า นายชนินทร์ ไม่ขอประกันตัว และพร้อมสู้คดีตามกฎหมาย ซึ่งเหตุผลที่ไม่ประกันตัว ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องความไม่ปลอดภัยในชีวิต และอยากต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม

ทนายความ ระบุว่า เตรียมใช้เอกสารคำสั่งฟ้องจำเลยในคดีเดียวกัน ซึ่งมีคำสั่งยกฟ้อง เช่น นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ รวมถึงเตรียมเอกสารคำให้การของนายชนินทร์ โดยมองว่า น่าจะเป็นหลักฐานที่ใช้อ้างอิงในการต่อสู้คดีได้

ด้านนายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า การนำตัวนายชนินทร์กลับมาดำเนินคดีฉ้อโกงประชาชน อาจไม่ได้กอบกู้ความเชื่อมั่นนักลงทุน ในแง่การกำกับดูแลการทุจริตในตลาดทุนมากนัก เนื่องจากความเสียหายจากการทุจริตเกิดขึ้นแล้ว และแม้ กลต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะออกมาตรการเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ แต่ก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าปัญหาการทุจริตจะไม่เกิดขึ้นในตลาดทุนอีก

ย้อนตำนานคดีโกงหุ้น STARK หลังจับกุม “ชนินทร์ เย็นสุดใจ”
วันที่ 24 มิถุนายน 2567 – 12:04 น.

ย้อนตำนานคดีโกงหุ้น STARK หลังจับกุม “ชนินทร์ เย็นสุดใจ” จากที่สร้างประวัติศาสตร์ฉาว จนสั่นสะเทือนตลาดทุนไทยครั้งสำคัญ เพราะเป็นการปฏิบัติการโกงครั้งใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จนเกิดวิกฤตเชื่อมั่น

วันที่ 24 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK กลับมาเป็นที่สนใจของประชาชนอีกครั้งในช่วงเวลานี้ หลังเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัว นายชนินทร์ เย็นสุดใจ อดีตผู้บริหาร STARK กลับมาดำเนินคดีที่ไทยได้สำเร็จ หลังหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศนานเกือบ 1 ปี

โดยการกลับมาของ นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ต้องถือว่าจุดความหวังให้กับผู้เสียหาย โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นรายย่อย ที่ขณะนี้ต่างกำลังต่อสู้คดีในชั้นศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย และเอาผิดกับผู้บริหารที่ร่วมกัน ตกแต่งบัญชีงบการเงิน และยักยอกทรัพย์สินของบริษัทไปหลายหมื่นล้าน

ล่าสุดทางด้าน พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน กล่าวว่า ดีเอสไอได้แจ้ง 6 ข้อหาสำคัญต่อ นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประกอบด้วย 1.ฉ้อโกงทรัพย์สินประชาชน 2.กระทำความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 3.การปลอมแปลงบันทึกบัญชีเป็นเท็จ 4.ผู้บริหารปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาท ไม่ระมัดระวัง 5.กระทำการทุจริต และ 6.ฟอกเงิน

โดยวันนี้ (24 มิ.ย. 2567) เวลา 13.00 น. พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะนำตัว นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ส่งอัยการ ซึ่งดีเอสไอยังคงสอบสวนเพิ่มเติมคดีฟอกเงิน โดยขอเวลา 1 เดือน จะเห็นความชัดเจนใครที่รับโอนเงินไปบ้าง

สำหรับคดีหุ้น STARK พบว่ามีการตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานฉ้อโกงประชาชนให้ได้รับความเสียหายกว่า 15,000 ล้านบาท และที่ผ่านมาดีเอสไอสั่งฟ้องผู้ต้องหารวม 11 คน หนึ่งในนั้นคือ นายชนินทร์ เย็นสุดใจ แต่หลบหนีออกประเทศไป ก่อนจะควบคุมตัวได้เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา

ย้อนตำนานคดีโกงหุ้น STARK
ทั้งนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” จะพาไปย้อนตำนานคดีโกงหุ้น STARK ที่สร้างประวัติศาสตร์ฉาวจนสั่นสะเทือนตลาดทุนไทยครั้งสำคัญ เพราะเป็นการปฏิบัติการโกงครั้งใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จนเกิดวิกฤตเชื่อมั่นในตลาดทุนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

โดยจากที่บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ได้เปิดเผยงบการเงินประจำปี 2565 เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2566 ซึ่งผู้สอบบัญชี (PwC) ตรวจพบปัญหาการตกแต่งบัญชีหลายรายการ โดยการสร้างยอดรอเรียกเก็บหนี้จากลูกค้าปลอม ยอดขายปลอม และสร้างรายการจ่ายเงินซื้อสินค้าล่วงหน้า ให้กับบริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งสมอ้างเป็นบริษัทคู่ค้า โดยไม่มีการซื้อขายหรือจ่ายเงินจริง คิดเป็นเงินไม่น้อยกว่า 26,816 ล้านบาท

โดยธุรกรรมอำพรางทั้งหมดเกี่ยวพันกับ 3 บริษัทย่อยของ STARK คือ 1.บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (PDITL) 2.บริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (TCI) และ 3.บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด (ADS)

โดยพบว่า “เฟ้ลปส์ ดอด์จ” มีการตกแต่งบัญชีสูงเกินจริงสูงถึง 24,452 ล้านบาท ตามมาด้วย “อดิสรสงขลา” มีการตกแต่งบัญชีสูงเกินจริง 1,045 ล้านบาท และ “ไทย เคเบิ้ลฯ” อีกมูลค่า 689 ล้านบาท

ส่งผลให้ตลอดช่วง 2 ปี ที่มีการตกแต่งบัญชีและโอนเงินให้บริษัทร่วมขบวนการ STARK มีผลขาดทุนรวมมากกว่า 12,640 ล้านบาท โดยในปี 2564 ขาดทุนสุทธิ 5,989 ล้านบาท และในปี 2565 ขาดทุนสุทธิ 6,651 ล้านบาท

ความเสียหายหลายหมื่นล้าน
กรณีของ STARK ถือเป็นกรณีสร้างความเสียหายมากที่สุดกรณีหนึ่ง ทั้งความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย ผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ถือหน่วยลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยจากมูลค่าหุ้นที่ลดลงจากที่เคยมีมูลค่าสูงสุด 60,000 ล้านบาท เหลือไม่ถึง 2,000 ล้านบาท (19 มิ.ย. 2566) โดยเฉพาะความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย ไปถึงผู้ถือหน่วยกองทุนรวมที่เข้าไปลงทุนในหุ้น STARK รวมทั้งผู้ถือหุ้นกู้ 5 ชุด อีกหลายพันราย วงเงินรวม 9,198 ล้านบาท และธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ที่ปล่อยสินเชื่อไปอีกราว 8,000 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการเปิดเผยงบการเงิน STARK พบว่ามีการทำธุรกรรมอำพรางโยกย้ายเงินไปที่บริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด กว่า 10,000 ล้านบาทนั้น ซึ่งหมายเหตุประกอบงบฯระบุว่า บริษัทดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับผู้ถือหุ้นใหญ่ของ STARK

ซึ่งจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็คือ “นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ STARK และเป็นผู้ถือหุ้นทางอ้อมของบริษัท เอเชีย แปซิฟิกฯ ด้วย อย่างไรก็ดี นายวนรัตช์ได้มีการชี้แจงผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯว่า กรณีดังกล่าวเป็นการกระทำผิดที่อยู่ภายใต้อำนาจของอดีตผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่มีส่วนรับรู้และจัดการ

ปฏิบัติการโกงครั้งใหญ่
แหล่งข่าวกล่าวว่า รายการที่ทำให้ STARK เกิดปัญหาและเจ๊งคือ รายการจ่ายเงินล่วงหน้าค่าสินค้า มูลค่า 10,451 ล้านบาท ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2565 ซึ่งหากย้อนไทม์ไลน์จะพบว่าเป็นช่วงที่ STARK มีการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) ให้กับนักลงทุนสถาบัน 12 ราย วงเงิน 5,580 ล้านบาท และออกหุ้นกู้ลอตใหม่เสร็จสิ้น ได้เงินมาทั้งหมดกว่าหมื่นล้านบาท แต่ทำไมธุรกิจเจ๊ง แล้วเงินหายไปไหน

“เหตุการณ์การโกงของ STARK คนที่เซ็นเอกสารใครมอบอำนาจ และคนที่มอบอำนาจจะรับรู้หรือไม่รับรู้กับการโกงครั้งนี้ แต่สะท้อนถึงความหละหลวมตั้งแต่ต้น ซึ่งจริง ๆ เคส STARK ไม่เคยเจอที่เป็น บจ. ในตลาดหุ้น แต่เคยเจอบ้างในธุรกิจเอสเอ็มอีที่มียอดขาย 100 ล้านบาทต่อปี ที่มีการตั้งบริษัทอีกแห่งขึ้นมาซื้อขายเพื่อผ่องถ่ายกำไร”

ที่มารื้อ กม. สังคายนา “ตลาดทุน”
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งขณะนั้นเป็นหนึ่งในกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และอดีตประธาน บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ มือกฎหมายธุรกิจ ได้กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ไว้ว่า กรณีที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่ากระบวนการตรวจสอบข้อมูลของตลาดทุนมีจุดอ่อน ทำให้เกิดช่องโหว่ที่เปิดช่องให้ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนทำการทุจริต

ตั้งแต่การทำงานของคณะกรรมการบริษัท ผู้ตรวจสอบบัญชี ซึ่งจะพบว่ากรณีที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นการทำธุรกรรมอำพรางในต่างประเทศ เช่น เคส EARTH ก็เป็นการทำดีลซื้อเหมืองที่อินโดนีเซีย ทำให้กระบวนการตรวจสอบข้อมูลยุ่งยากมากขึ้น

อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญต้องเร่งกระบวนการเอาคนโกงมาลงโทษให้เร็วที่สุด และยับยั้งความเสียหาย สำนักงาน ก.ล.ต. ต้องประสานการทำงานกับ ปปง. ดีเอสไอ ทำคดีอย่างรวดเร็ว เพราะจากความผิดที่เกิดขึ้นก็น่าจะถือว่าเป็นการฉ้อโกง หน่วยงานต่าง ๆ ต้องเทกแอ็กชั่นอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องความเสียหายของนักลงทุน

“ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมากระบวนการทางกฎหมายเพื่อเอาคนโกงมาลงโทษนั้นใช้เวลานานเป็นปี หรือหลายปี หรือผู้กระทำผิดหลบหนีไปแล้ว แนวทางคือต้องมีการบูรณาการการทำงานของ ก.ล.ต. ปปง. ดีเอสไอ เป็นคณะทำงานร่วม”

เปิด 14 มาตรการยกระดับกำกับตลาดหุ้น
นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานกฎหมาย และหัวหน้ากลุ่มงานเลขานุการองค์กรและกำกับองค์กร ในฐานะโฆษก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยต่อสื่อมวลชนเมื่อ 25 เม.ย. 2567 ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ดำเนินการยกระดับมาตรการกำกับดูแลตลาดหุ้นเพื่อยกระดับความเชื่อมั่น ซึ่งมีทั้งหมด 14 มาตรการดังนี้

1.ให้ขายชอร์ตในทุกหลักทรัพย์ได้ ที่ราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย (Uptick) จากปัจจุบันให้ขายชอร์ตได้ที่ราคาเท่ากับหรือสูงกว่า (Zero-plus Tick) โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567

2.เพิ่มมาตรการให้ซื้อขายด้วย Auction สำหรับหลักทรัพย์ที่เข้ามาตรการกำกับการซื้อขาย เลเวล 2 เพื่อใช้ควบคุมการกำกับดูแลหุ้นที่มีความผันผวนหรือการเคลื่อนไหวของราคาที่ผิดปกติ

3.กำหนดเวลาขั้นต่ำของ Order ก่อนที่จะสามารถแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่ง (Minimum Resting Time) ไว้ที่ 0.250 วินาที (250 Milliseconds) เพื่อป้องกันพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม กรณีส่งคำสั่งซื้อและส่งคำสั่งขาย และถอนออกเร็ว ๆ และกำหนดคำสั่งที่มีการแก้ไขหรือยกเลิกก่อนเวลาดังกล่าวจะถูกปฏิเสธ (Reject) โดยระบบทันที

4.กำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์สมาชิกและลูกค้าที่ใช้โปรแกรมเทรดดิ้งรูปแบบการส่งคำสั่งซื้อขายด้วยความถี่สูง (High Frequency Trading : HFT) และใช้ SET Colocation (ติดตั้งเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเชื่อมต่อส่งคำสั่งซื้อขาย) จะถูกกำกับดูแล โดยกำหนดต้องยื่นคำขอและไฟลิ่งข้อมูล (Register) ที่เกี่ยวข้องให้สามารถเห็นข้อมูลผู้ลงทุนในระดับ Sub-Account ของ Omnibus Account ทั้งนี้จะมีข้อตกลงว่าถ้ามีพฤติกรรมการซื้อขายที่ไม่เหมาะสมจะมีการระงับการซื้อขายผ่านช่องทางนี้ก็ได้

“กลุ่มนักลงทุนที่ใช้ HFT ซึ่งอาจจะมองเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมการซื้อขายไม่เหมาะสม มีการส่งคำสั่งซื้อขายเข้าเร็วออกเร็ว ดังนั้นเราจะเข้าไปดูพฤติกรรรมกลุ่มนี้มากขึ้น ซึ่งต้องลงทะเบียนเพื่อให้รู้ตัวตนได้”

ส่วนแนวทางการกำกับเรื่องอื่น ๆ อีก 10 มาตรการ ประกอบด้วย 1.การทบทวนหลักทรัพย์ที่ชอร์ตเซลได้ กรณี Non-SET 100 ต้องมีขนาดมาร์เก็ตแคปมากกว่า 7,500 ล้านบาท (จากเดิม 5,000 ล้านบาท) นอกจากนี้ต้องมี Turnover เฉลี่ย 12 เดือน ที่ 2% (จากเดิมไม่กำหนด) โดยจะมีผลบังคับใช้ช่วงปลายไตรมาส 2/2567

2.การเพิ่ม Daily Short Selling Limit เนื่องจากมาตรการกำหนดปริมาณสูงสุดของการขายชอร์ตและยังไม่ได้ซื้อคืน (10% ของ Total Listed Shares ของบริษัท) ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสูงสุดที่เคยเจออยู่ที่ประมาณ 3% และค่าเฉลี่ยน้อยกว่า 1% เท่านั้น ประกอบกับมาตรการอื่น ๆ ที่จะเริ่มใช้บังคับ จะสามารถควบคุมธุรกรรมขายชอร์ตได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ในขณะนี้เห็นว่าอาจจะยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการ Daily Short Selling Limit

3.จัดให้มี Central Platform ในการ Check หลักทรัพย์ก่อนขาย เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลกลางสำหรับบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกและตลาดหลักทรัพย์ ในการตรวจสอบ Availability ของหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนก่อนขาย ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาการขายหุ้นโดยไม่มีหลักทรัพย์ในครองครอง (Naked Short Selling) ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนหารือรายละเอียดเพิ่มเติมกับบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกในการส่งข้อมูลของทุกบริษัท

4.การเพิ่ม Circuit Breaker รายหุ้น หรือ Dynamic Price Band โดยกำหนดกรอบการเคลื่อนไหวของราคา (ที่แคบกว่า Ceiling & Floor) เอาไว้ เพื่อไม่ให้ราคาผันผวนเร็วเกินไป

5.การเพิ่ม Auto halt รายหุ้น กรณีมีจำนวนหุ้นรวมในคำสั่งมากกว่าจำนวนที่กำหนด เพื่อป้องกันการจับคู่ของคำสั่งซื้อขายที่อาจผิดปกติ ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ช่วงไตรมาส 4/2567 ทั้งนี้ ประเด็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นในทางปฏิบัติคือ เวลา Halt คำสั่งที่อยู่ในระบบจะให้อยู่ในระบบต่อไปหรือจะยกเลิก ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำลังพูดคุยกับสมาชิกเพื่อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย

6.จัดให้มี Central Order Screening เพื่อเป็นระบบกลางในการคัดกรองคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสม เพื่อบริหารความเสี่ยงในการส่งคำสั่งซื้อขาย สำหรับการซื้อขายชอร์ตและการใช้โปรแกรมเทรดดิ้ง เบื้องต้นจะต้องมีการพูดคุยในรายละเอียดบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกและการพัฒนาระบบ จึงคาดว่าจะใช้เวลาอยู่พอสมควร

7.การเปิดเผยข้อมูลผู้ลงทุนที่ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมให้แก่บริษัทหลักทรัพย์สมาชิกรายอื่น ซึ่งระหว่างนี้จะมีการแก้เกณฑ์ให้ บล. ดำเนินการไปในแนวทางเดียวกัน และเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2567 ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ส่งหนังสือเวียนถึงบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกและไม่ใช่สมาชิกทุกบริษัท เรื่อง “การเพิ่มตัวอย่างพฤติกรรมลักษณะการส่งคำสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์ที่ไม่เหมาะสม พร้อมตัวอย่างและพฤติกรรม”

8.มาตรการรายงาน Outstanding Short Position ซึ่งได้เปิดเผยข้อมูลไปแล้วเป็นรายหลักทรัพย์และรายวันให้บุคคลทั่วไปทราบ

9.เพิ่มบทระวางโทษบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกให้สูงขึ้น 3 เท่า โดยเพิ่มโทษในกรณีที่ บล.ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขายชอร์ตและโปรแกรมเทรดดิ้งให้สูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 3 เท่า

และ 10.การเปิดเผยข้อมูลการถือครอง NVDR สูงสุด 10 รายแรก และผู้ถือตั้งแต่ 0.5% ให้บุคคลทั่วไปทราบ ลักษณะเดียวกับการเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน

诈骗近19亿·迪拜落网 金融大案主犯押解返泰国
斯塔克财务诈骗案主犯查宁查宁(中)被押返曼谷机场。

(曼谷24日讯)泰国首相署和警方23日在素旺那蓬机场联合宣布,斯塔克(Stark)财务诈骗案的主要涉案人员之一、该公司前高管查宁已在迪拜被捕。

阿联酋当局22日在迪拜将其移交给泰国当局押解返回泰国,嫌犯23日落地泰国,等待进一步审判。

据报道,斯塔克财务诈骗案是近年来泰国证券交易所最大的会计丑闻之一。据监管机构称,该案最终对4704名股东造成不良影响,财务损失达147亿泰铢(约18.8亿令吉)。

2023年6月,特案厅启动对斯塔克财务诈骗案的调查,并在之后根据《证券交易法》对7位斯塔克雇员,以及5家关联企业采取法律行动,指控其参与伪造、欺诈、贪污和洗钱等。

2023年10月开始,调查人员加强了对嫌犯查宁的追捕力度,耗时8个月左右,终于抓获查宁。查宁24日被带到总检察长办公室接受起诉。

回到创造丑闻历史的“Chanin Yensudjai”被捕后的STARK股票欺诈案传奇。直到发生信任危机震动泰国资本市场,因为这是一起泰国股市上市公司的重大欺诈行为。

2024.6.21 ผู้ช่วย ผบ.ตร. สั่งการตำรวจทั่วประเทศ ระดมปราบปรามการพนันฟุตบอลยูโร 2024 ทั้งออนไซต์และออนไลน์ ล่าสุด 7 วัน จับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 1,700 คน ดำเนินคดี 62 เว็บไซต์

ตร.ลุยปราบพนันฟุตบอลยูโร 7 วัน รวบแล้ว 1,700 ราย ดำเนินคดี 62 เว็บพนัน

พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.

ผู้ช่วย ผบ.ตร. สั่งการตำรวจทั่วประเทศ ระดมปราบปรามการพนันฟุตบอลยูโร 2024 ทั้งออนไซต์และออนไลน์ ล่าสุด 7 วัน จับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 1,700 คน ดำเนินคดี 62 เว็บไซต์

วันนี้ (21 มิ.ย.) พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 ในห้วงการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งที่ 17 หรือฟุตบอลยูโร 2024 ระหว่างในวันที่ 14 มิถุนายน ถึง 14 กรกฎาคม 2567 ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทั้งออนไลน์และออนไซต์

ภาพรวมผลการจับกุมการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร ปี 2024 ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 14-20 มิถุนายน 2567 แบ่งเป็น

1.การจับกุมการพนันออนไซต์ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้รวม 1,578 คน แบ่งเป็น เจ้ามือ 65 คน, ผู้เล่น 1,503 คน, คนเดินโพย 10 คน

2.การจับกุมการพนันออนไลน์ สามารถจับกุมได้ 62 เว็บไซต์ ผู้ต้องหารวม 248 คน แบ่งเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน 28 คน, ผู้เล่น 220 คน พบเงินหมุนเวียนในระบบทั้ง 62 เว็บไซต์ รวม 1,400,150,007 บาท โดยคดีสำคัญคือการจับกุมของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ซึ่งสามารถจับกุมได้รวม 4 เว็บไซต์ เงินหมุนเวียนกว่า 1,400 ล้านบาท

นอกจากนี้ พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวว่า การพนันประเภทต่างๆ เป็นความผิดตามกฎหมาย ต้องถูกดำเนินคดีทุกรายโดยไม่ละเว้น โดยผู้เล่น ผู้ชักชวน และผู้จัดให้มีการพนันฟุตบอล จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12(2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากการกระทำความผิดเป็นไปในลักษณะมีการชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร หรือน่าจะทำให้เด็กมี ความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด ผู้ปกครองหรือผู้กระทำผิดก็อาจถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ในมาตรา 26(3) ประกอบ มาตรา 78 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกด้วย ทั้งนี้ หากประชาชนมีเบาะแสหรือเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการพนันทายผลฟุตบอล หรืออาชญากรรมอื่นๆ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 191 หรือ สายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

警方连续7天严厉打击欧洲足球博彩 逮捕1700人并起诉62家博彩网站

2024.6.21 ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท. /ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 บช.สอท., พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ปฏิบัติการ SHUTDOWN EURO BET บุกทลาย2 เว็บแทงบอลยูโรรายใหญ่ รวบแก๊งชาวจีนตัวการพร้อมเครือข่ายยึดทรัพย์รวมกว่า 287 ล้านบาท

ตำรวจไซเบอร์บุกทลาย 2 เว็บพนันแทงบอลยูโรรายใหญ่ชาวจีน ยึดทรัพย์เกือบ 300 ล้าน

21 มิ.ย.2567 – ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท. /ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 บช.สอท., พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ปฏิบัติการ SHUTDOWN EURO BET บุกทลาย2 เว็บแทงบอลยูโรรายใหญ่ รวบแก๊งชาวจีนตัวการพร้อมเครือข่ายยึดทรัพย์รวมกว่า 287 ล้านบาท

พล.ต.ท.วรวัฒน์ ผบช.สอท.เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากปัจจุบันอยู่ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 หรือ UEFA EURO 2024 ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดตรวจสอบการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบเล่นพนันทายผลฟุตบอลอย่างเข้มข้น จนกระทั่งพบเบาะแสการกระทำผิดเกี่ยวกับเว็บไซต์รับทายผลพนันฟุตบอลออนไลน์ จำนวน 2 เว็บไซต์ คือ เว็บไซต์ wm88 vip และ เว็บไซต์ x-stand com จากการวิเคราะห์เส้นทางการเงินของทั้ง 2 เครือข่าย ซึ่งมีเงินหมุนเวียนในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย.2567 ถึง 1,400 ล้านบาท

ต่อมาตำรวจไซเบอร์ได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถขอศาลอาญาออกหมายค้นและหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดได้ทั้งขบวนการ จำนวน 64 ราย แบ่งเป็น กลุ่มผู้ต้องหาทำหน้าที่บัญชีรับโอนเงิน จำนวน 11 ราย, กลุ่มผู้ต้องหาทำหน้าที่บัญชีพักเงิน หมุนเวียน จำนวน 37 ราย ,กลุ่มผู้ต้องหาทำหน้าที่บัญชีซื้อขายเหรียญ จำนวน 6 ราย, กลุ่มผู้ต้องหาทำหน้าที่ผู้ทำหน้าที่กดเงิน จำนวน 4 ราย ,กลุ่มผู้ต้องหาชาวต่างชาติซึ่งเป็นผู้รับผลประโยชน์ เป็นชาวจีน 5 ราย กัมพ฿ชา 1 ราย

กระทั่งวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้นำกำลังตำรวจไซเบอร์พร้อมหมายค้นเข้าตรวจค้นเป้าหมายในพื้นที่ กทม. จำนวน 2จุด สามารถตรวจยึดและอายัดทรัพย์สินทั้งหมด รวมมูลค่าประมาณ 287,396,713 บาท โดยมีรายละเอียด จุดที่ 1 ตรวจค้นบ้านเลขที่ 333/3 ในหมู่บ้านหรูย่านทองหล่อ ซอยแสงทอง แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. สามารถตรวจยึดและอายัดของกลาง รวมมูลค่าประมาณ 264,816,982 บาท เป็นโฉนดห้องชุด เงินสด รถยนหรูและทรัพย์สินอื่นๆ

จุดที่ 2 ตรวจค้นห้องพักภายในคอนโดหรู ย่านพร้อมพงษ์ ซอยสุขุมวิท 39 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม.สามารถตรวจยึดและอายัดของกลาง รวมมูลค่าประมาณ 22,580,000 บาท เป็น รถยนต์ Toyota Alphard จำนวน 5 คัน มูลค่าประมาณ 20,000,000 บาท และเงินสดและทรัพย์สินอื่นๆ นอกจากนี้ ยังสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับซึ่งเป็นกลุ่มตัวการรับผลประโยชน์ และกลุ่มที่ทำหน้าที่บริหารเงินของเว็บพนันออนไลน์ ได้ 7 ราย เป็นชาวจีน 3 คน และ คนไทย 4 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน” นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน บก.สอท.3 ดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมเดินหน้าขยายผลและจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

บุกทลาย 2 เว็บแทงบอลยูโรรายใหญ่ รวบตัวการแก๊งจีน ยึดทรัพย์กว่า 300 ล้าน

ตำรวจไซเบอร์แถลงยุทธการปฏิบัติการ SHUTDOWN EURO BET บุกทลาย 2 เว็บแทงบอลยูโรรายใหญ่ จับกุมตัวการแก๊งชาวจีน ยึดทรัพย์รวมกว่า 300 ล้านบาท

วันนี้ (21 มิ.ย.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 และพ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ร่วมกันแถลงข่าวตามยุทธการปฏิบัติการ SHUTDOWN EURO BET บุกทลาย 2 เว็บแทงบอลยูโรรายใหญ่ จับกุมตัวการแก๊งชาวจีนพร้อมเครือข่าย ยึดทรัพย์รวมกว่า 300 ล้านบาท

สืบเนื่องจากปัจจุบันอยู่ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 หรือ UEFA EURO 2024 ทาง พล.ต.ท.อัครเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 สั่งการให้ทุกหน่วยตรวจสอบการเล่นพนันอย่างเข้มข้น กระทั่งพบเบาะแสการกระทำผิด เกี่ยวกับเว็บไซต์รับทายผลพนันฟุตบอลออนไลน์ จำนวน 2 เว็บไซต์ จึงได้ทำการแกะรอยเส้นทางการเงินของทั้ง 2 เครือข่าย ซึ่งมีเงินหมุนเวียนในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย.67 ถึง 1,400 ล้านบาท

จากนั้นจึงขอศาลออกหมายค้นและหมายจับ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งขบวนการ จำนวน 64 ราย แบ่งเป็นผู้ต้องหา กลุ่มรับโอนเงิน 11 ราย กลุ่มบัญชีพักเงินหมุนเวียน 37 ราย กลุ่มซื้อขายเหรียญคริปโต 6 ราย กลุ่มกดเงิน 4 ราย และกลุ่มชาวต่างชาติผู้รับผลประโยชน์ 6 ราย เป็นชาวจีน 5 รายกัมพูชา 1 ราย พร้อมนำกำลังตรวจค้น 2 จุด

โดยจุดที่1. ค้นบ้านหลังใหญ่ ในหมู่บ้านหรูย่านทองหล่อ ซอยแสงทอง แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. พร้อมจับกุม นายจางเชี้ยง MR.XIANG ZHANG อายุ 42 ปี สัญชาติจีน และนาง ฮุ่ยชิง จาง MRS.ZHANG HUIQING อายุ 37 ปี 2 สามีภรรยาชาวจีน ที่ทำหน้าที่รับผลประโยชน์

พร้อมยึดเงินสด 13,830,000 บาท ธนบัตรจำนวน 3,200 ดอลลาร์ รถยนต์ Bentley มูลค่า 20 ล้านบาท รถยนต์ Mercedes-Benz มูลค่า 3 ล้านบาท รถยนต์ GWM Tank 500 มูลค่า 2 ล้าน อายัดเงินฝากในบัญชี จำนวน 86,749,572 บาท สัญญาซื้อขายบ้านหรู ราคา 88 ล้านบาท โฉนดที่ดินห้องชุดคอนโดหรู 11 ห้อง และกระเป๋าแบรนเนมจำนวนมาก รวมมูลค่าประมาณ 287,396,713 บาท

จากการสอบสวนทั้งคู่ ให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเว็บพนันออนไลน์ ส่วนทรัพย์สินที่ได้ มาจากการขายบริษัทโฆษณาที่ประเทศจีน และนำเงินมาใช้ในการอยู่ที่ประเทศไทยและเล่นคริปโตเป็นหลัก

ส่วน จุดที่2. ตรวจค้นห้องพักภายในคอนโดหรู ย่านพร้อมพงษ์ ซอยสุขุมวิท39 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา จับกุมนายจุนเสีย MR.JUN XIA อายุ 36 ปี สัญชาติจีน พร้อมคนไทย 4 คน ยึดเงินสด 2,260,000 ล้านบาท รถยนต์ โตโยต้า อัลพาร์ท 5 คัน มูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท รวมมูลค่าประมาณ 22,580,000 บาท

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาฐาน ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือชักชวนโดยทางตรง หรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมิได้รับอนุญาต, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน” นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนตามกฎหมาย พร้อมเดินหน้าขยายผล และจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีต่อไป

จับ2เว็บพนันฟุตบอลยูโร รวบยกขบวนการ64ราย ยึดทรัพย์กว่า300ล้านบาท

ตำรวจไซเบอร์ บุกค้นและจับกุม 2 ขบวนการเว็บพนันฟุตบอลยูโร รวบนายทุน-คนงาน 64 ราย ยึดทรัพย์สินของกลางมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 21 มิ.ย.2567 ที่บช.สอท. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 พ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 พ.ต.อ.อภิรักษ์ จำปาศรี ผกก.1

พ.ต.อ.สรกฤช พันธ์ศรี ผกก.3 บก.สอท.3 ร่วมกันแถลงข่าวตามยุทธการปฏิบัติการ SHUTDOWN EURO BET บุกทลาย 2 เว็บแทงบอลยูโรรายใหญ่ เว็บไซต์ wm88.vip และ เว็บไซต์ x-stand.com รวบตัวการแก๊งชาวจีนพร้อมเครือข่ายยึดทรัพย์รวมกว่า 280 ล้านบาท

สืบเนื่องจากปัจจุบันอยู่ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 หรือ UEFA EURO 2024 ทาง ตร. โดย พล.ต.ท.อัครเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 สั่งการให้ทุกหน่วยตรวจสอบการเล่นพนันอย่างเข้มข้น

กระทั่งพบเบาะแสการกระทำผิด เกี่ยวกับเว็บไซต์รับทายผลพนันฟุตบอลออนไลน์ จำนวน 2 เว็บไซต์ ได้แก่ เว็บไซต์ wm88.vip และ เว็บไซต์ x-stand.com จึงได้ทำการแกะรอยเส้นทางการเงินของทั้ง 2 เครือข่าย ซึ่งมีเงินหมุนเวียนในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย.67 ถึง 1,400 ล้านบาท ก่อนขอศาลออกหมายค้น

และหมายจับ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งขบวนการ จำนวน 64 ราย แบ่งเป็นผู้ต้องหา กลุ่มรับโอนเงิน 11 ราย, กลุ่มบัญชีพักเงินหมุนเวียน 37 ราย, กลุ่มซื้อขายเหรียญคริปโต 6 ราย, กลุ่มกดเงิน 4 ราย และกลุ่มชาวต่างชาติผู้รับผลประโยชน์ 6 ราย เป็นชาวจีน 5 รายกัมพูชา 1 ราย พร้อมนำกำลังตรวจค้น 2 จุด

โดยจุดที่1. ค้นบ้านหลังใหญ่ ในหมู่บ้านหรูย่านทองหล่อ ซอยแสงทอง แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. พร้อมจับกุม นายจางเชี้ยง MR.XIANG ZHANG อายุ 42 ปี สัญชาติจีน และนาง ฮุ่ยชิง จาง MRS.ZHANG HUIQING อายุ 37 ปี 2 สามีภรรยาชาวจีน ที่ทำหน้าที่รับผลประโยชน์

พร้อมยึดเงินสด 13,830,000 บาท ธนบัตรจำนวน 3,200 ดอลลาร์ รถยนต์ Bentley มูลค่า 20 ล้านบาท, รถยนต์ Mercedes-Benz มูลค่า 3 ล้านบาท, รถยนต์ GWM Tank 500 มูลค่า 2 ล้าน, อายัดเงินฝากในบัญชี จำนวน 86,749,572 บาท, สัญญาซื้อขายบ้านหรู ราคา 88 ล้านบาท โฉนดที่ดินห้องชุดคอนโดหรู 11 ห้อง และกระเป๋าแบรนเนมจำนวนมาก รวมมูลค่าประมาณ 287,396,713 บาท

สอบสวนทั้งคู่ ให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเว็บพนันออนไลน์ ส่วนทรัพย์สินที่ได้ มาจากการขายบริษัทโฆษณาที่ประเทศจีน และนำเงินมาใช้ในการอยู่ที่ประเทศไทยและเล่นคริปโตเป็นหลัก

จุดที่2. ตรวจค้นห้องพักภายในคอนโดหรู ย่านพร้อมพงษ์ ซอยสุขุมวิท39 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา จับกุมนายจุนเสีย MR.JUN XIA อายุ 36 ปี สัญชาติจีน พร้อมคนไทย 4 คน ยึดเงินสด 2,260,000 ล้านบาท รถยนต์ โตโยต้า อัลพาร์ท 5 คัน มูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท รวมมูลค่าประมาณ 22,580,000 บาท

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาฐาน ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือชักชวนโดยทางตรง หรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมิได้รับอนุญาต, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน” นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนตามกฎหมาย พร้อมเดินหน้าขยายผล และจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีต่อไป

多名华人涉案、涉案财产超2.8亿!泰国警方捣毁网赌大案

6月20日,泰国国家警察总署助理总署长阿卡拉德警中将作为赌博预防与侦查中心2024年欧洲足球锦标赛(简称“欧洲杯”)非法赌博打击队队长,下令多位警官联合召开新闻发布会,就近期的欧洲杯足球赛非法赌博打击行动(SHUTDOWN EURO BET)结果进行公布。

此次行动中,共查获两个赌博网站,均有中国籍犯罪团伙参与,没收财产超过2.8亿泰铢。

由于目前正处于2024年欧洲杯期间,泰国国家警察总署命令各单位严查与非法赌博有关的犯罪行为。在调查中,有两个在线足球博彩网站被警方锁定,警方通过线索追查到,这两个网站都位于曼谷,在2024年1月至6月期间的现金流达14亿泰铢,于是向刑事法院申请逮捕令,对64个犯罪分子实施了抓捕。这64个嫌疑人各有分工,包括11个汇款接收账户负责人、37个储蓄及转账账户负责人、6个加密货币交易账户负责人、4个账户取款负责人、以及6个外籍得利人(其中5名为中国籍,1名柬埔寨籍)。

警方先对位于曼谷通罗地区的一个豪华住所进行搜查,并抓获2名犯罪嫌疑人,分别是42岁中国籍男子项某(音译)和37岁中国籍女子张某(音译),两人为夫妻,是在线足球博彩网站的得利人。同时,警方查没了两人的财产,包括泰铢现金1383万铢、现金美元3200元、价值2000万铢的宾利汽车、价值300万铢的奔驰汽车、价值200万铢的长城坦克500汽车、银行存款约8700万铢、价值8800万铢的豪宅购买合同、以及总价值约2300万铢的11间豪华公寓的所有权证明和名牌包包。

两人否认他们与在线足球博彩网站无关,持有的资产是他售卖在中国的广告公司所得,主要用于在泰国的生活支出和投资加密货币。

随后,警方对同位于瓦塔纳区的另一处豪华公寓进行搜查,抓获1名36岁中国籍男子君某(音译)和4名泰国人,并查没其财产,包括泰铢现金226万铢、总价值约2000万铢的丰田汽车5辆。

警方初步指控上述涉案人员“未经许可,通过网络途径等直接或间接地策划、宣传或招揽他人参与赌博,以及参与两人或两人以上的共谋洗钱、实施洗钱罪”。目前,犯罪嫌疑人已被移交给大都会警察局第3分局调查监督司依法起诉。同时,警方将继续扩大调查,逮捕逃犯,以对其他涉案人员依法进行处理。

警方在调查后共对64名涉案人员申请发出逮捕令,现已逮捕了7名网站受益者及资金管理人士,分别为42岁中国男子Mr.XIANG ZHANG、37岁中国女子Mrs.HUIQING ZHANG,2人均为受益人,以及36岁中国男子MR.JUN XIA,负责资金管理及洗钱;以及其他4名泰国男子,均负责提取现金。

目前,警方仍在进一步扩大调查范围,以将在逃嫌犯捉拿归案。

2024.6.9, For less than RM2,500 ( THB19,578 ), Malaysian couples can get a marriage certificate in Thailand. That is how easy it is to get hitched, for those wanting a second wife. And the number of Malaysians getting married in southern Thailand is growing. However, a local marriage agent warned Malaysian couples – especially Muslims – that they would face endless problems if they hired illegal agents to facilitate their marriage solemnisation.

Warning: Beware of fake marriage agents in rise of Malaysians marrying in Thailand

For less than RM2,500 ( THB19,578 ), Malaysian couples can get a marriage certificate in Thailand. That is how easy it is to get hitched, for those wanting a second wife.

And the number of Malaysians getting married in southern Thailand is growing.

However, a local marriage agent warned Malaysian couples – especially Muslims – that they would face endless problems if they hired illegal agents to facilitate their marriage solemnisation.

The agent, who requested to speak on the condition of anonymity, said those who seek illegal marriage services will go through a marriage ceremony using a ‘kadi’ (a religious official that can solemnise a marriage) who is unrecognised by the authorities.

“The ceremony arranged by illegal agents is usually done in rural villages along border towns. In some cases, they will abscond with your money.

“They also act as syndicate members offering various services such as transport and accommodation,” the agent said.

A textile trader who wished to be known only as Azmin experienced this when he got married in 2023. He paid RM2,000 ( THB15,662 ) to a syndicate member who disappeared without providing a valid marriage certificate.

“We were taken to a village in Sungai Golok and solemnised before a ‘kadi’. But after agreeing to provide us with a marriage certificate for our (marriage ceremony) back in Malaysia, the agent vanished without a trace,” he said.

Mr Azmin said he later sought a friend’s help to get solemnised again in Narathiwat; this time, with a ‘kadi’ appointed by the Thailand Islamic Religious Council.

The Malaysian consul-general in Songkhla, Ahmad Fahmi Ahmad Sarkawi, said the Consulate-General is aware of the existence of a syndicate preying on couples wanting to get married in border towns.

“It’s not easy to track down these syndicate members. After the wedding ceremony, the illegal agents will not come to the consulate to submit their client’s documents for authentication,” he said.

Ahmad Fahmi advised Malaysian couples to engage only a ‘kadi’ recognised by the Islamic Religious Council in southern Thailand.

“Malaysian couples must submit their documentation at the consulate to ensure (their marriage) is valid and to avoid being conned by syndicate members,” he said.

He added that once the documents are endorsed by the consulate, the couples can register their marriage back in Malaysia.

“This is very important because if they fail to do so, although their marriage may be considered valid from a Syariah perspective, problems may arise later when their child cannot enrol in school or when their child’s status cannot be determined in the future,” he said.

Ahmad Fahmi said that every month, an average of about 250 to 300 couples from Malaysia submit their marriage documents at the consulate after getting hitched in Thailand.

The agent who spoke to The Star said the marriage ceremonies are conducted by a ‘kadi’ in Malay.

“Once registered, (the marriage) will be recognised by the Thai Islamic religious authorities. The marriage vow is similar to marriage ceremonies in Malaysia.

“After the proceedings, couples will be taken straight to the consulate in Songkhla,” he said.

The following day, the couple will get a confirmation letter and once all the procedures are completed and verified, they can return to Malaysia as a married couple, said the agent.

Couples have to pay a fee of between RM1,500 (THB11,747) and RM2,500 (THB19,578).

A check on social media found several agents offering packages of between RM2,000 (THB15,662)and RM4,000 (THB31,325) for couples seeking to marry in southern Thailand, namely in Yala, Satun, Songkhla, Pattani and Narathiwat.

“In the past five years, I have provided such services to more than 1,000 couples from Malaysia legally. Our role is to ease the process of marriage and manage all the administrative procedures for them at the Islamic religious councils in the five southern provinces of Thailand.

“However, the presence of illegal agents has indirectly hampered our work and tarnished our image,” the agent said.

The Star witnessed several Malaysian men taking part in marriage ceremonies during a visit to Narathiwat.

A couple who wanted to be known only as Salleh and Haliza were spotted leaving the Thailand Islamic Religious Council compound after their marriage ceremony.

“Our marriage ceremony went well without any problems. This is my second wife and we decided to do it here as it is less of a hassle compared with Malaysia,” said Salleh.

“I engaged an authorised agent who helped us get solemnised at the Narathiwat Islamic Religious Council office.”

The 50-year-old businessman said he paid RM1,600 (THB12,530) to the agent for the documentation and ceremony.

“As long as we get solemnised by a proper ‘kadi’ and register our marriage in Malaysia, we won’t have any problems later,” he said.

警告:马来西亚赴泰国结婚人数增多 谨防假结婚中介

2024.6.7, In a huge crackdown on online fraud over seven months, Royal Thai Police have arrested 14,000 individuals involved in call centre scams, investment fraud schemes and online gambling websites. The operation has also led to the freezing of 4.5 billion baht in assets, and discussions are underway with the Anti-Money Laundering Office (AMLO) on how these can be distributed among victims.

14,000-plus con artists arrested in crackdown on online scams

Operations over seven months also resulted in the seizing and freezing of 4.5 billion baht in assets, officials seeking ways to return funds to victims

In a huge crackdown on online fraud over seven months, Royal Thai Police have arrested 14,000 individuals involved in call centre scams, investment fraud schemes and online gambling websites.

The operation has also led to the freezing of 4.5 billion baht in assets, and discussions are underway with the Anti-Money Laundering Office (AMLO) on how these can be distributed among victims.

14,000-plus con artists arrested in crackdown on online scams

The Royal Thai Police deputy spokesman Pol Maj-General Siriwat Depor told the press on Friday that following directives from Prime Minister Srettha Thavisin and acting National Police chief Pol General Kittirat Panpet, the authorities have been intensively investigating and combatting technological crimes. Their efforts have yielded substantial results in three key areas:

Crackdown on criminals: From October 1, 2023, to April 30, 2024, the authorities have arrested 14,826 individuals involved in call centre scams, investment fraud rings, and illegal online gambling operations.

Disrupting infrastructure: In collaboration with the National Broadcasting and Telecommunications Commission (NBTC), the police investigated the illegal installation of signal transmission equipment along the border. These devices were used by criminals to facilitate ongoing illegal activities. The operation successfully led to the confiscation of the equipment.

Dismantling Financial Networks: The authorities investigated and expanded operations through financial tracking and the freezing of mule accounts. Between November 1, 2023 and April 30, 2024, they successfully froze 4.56 billion baht. Collaboration with AMLO aims to ensure the recovered funds are returned to the victims.

The public is urged to stay informed about the various types of crimes to protect themselves from becoming victims.

Victims of technology-related crimes can file a complaint through the website www.thaipoliceonline.go.th or by calling the 24-hour hotline at 1441.

泰国严打网络诈骗 逮捕1万4000多名骗子

泰国皇家警察在为期七个月的大规模打击网络诈骗行动中,逮捕超过1万4000名不法分子,涉及非法活动包括呼叫中心诈骗、投资诈骗和在线赌博网站。

泰国《民族报》报道,泰国皇家警察副发言人希里瓦特星期五(6月7日)在新闻发布会说,遵照首相社德他和代国家警察总署署长基蒂拉特(Kittirat Panpet)的指示,执法部门一直在密切调查和打击技术犯罪。

他们的努力在三个关键领域取得了实质性成果,包括追捕犯罪分子、捣毁诈骗集团的基础设施和金融网络。

自去年10月1日至今年4月30日,共逮捕1万4826名参与非法活动人员。自去年11月1日至今年4月30日,他们成功冻结了45.6亿泰铢的款项,目前正与反洗钱办公室(AMLO)讨论如何把这笔钱分配给受害者。

2024.6.5, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทางเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 4 พ.ค.67 ร่วมกับผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อดำเนินงานตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ระยะที่ 2

‘ดีอี’ ไม่หยุด! โชว์ผลงานเฟส 2 จับกุมโจรออนไลน์ ปิดเว็บพนัน ระงับซิมผี บัญชีม้า ตามข้อสั่งการนายกฯ

‘กระทรวงดีอี’ อวดผลงานปราบโจรออนไลน์ เฟส 2 กวาดล้างซิมผี บัญชีม้า ปิดเว็บพนัน ปรับปรุงกฎหมายสกัดฟอกเงิน-เพิ่มมาตรการลดความเสียหายจากการหลอกลวงออนไลน์ บรรเทาเดือดร้อนของประชาชน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทางเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 4 พ.ค.67 ร่วมกับผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อดำเนินงานตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ระยะที่ 2

สำหรับมาตรการและผลการดำเนินงาน ระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1-31 พ.ค.67 ที่ผ่านมา มี 8 เรื่องที่สำคัญดังนี้

1.การปราบปรามจับกุมอาชญากรรมออนไลน์ จับกุมอาชญากรรมออนไลน์จำนวน 2,295 ราย ลดลง 8% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงต้นปี โดยพบการจับกุมคดีเว็บพนันออนไลน์ 991 ราย และคดีซิมม้า บัญชีม้า 199 ราย ที่สำคัญ มีการปฏิบัติการจับกุมหลายครั้ง ได้แก่ การจับกุม เว็บไซต์.บ้านหวย.com เงินหมุนเวียนประมาณ 80 ล้านบาทต่อเดือน ยึดทรัพย์ประมาณ 70 ล้านบาท การทลายเว็บพนัน “หวานเจี๊ยบ” ด้วยเงินหมุนเวียน 1,000 ล้านบาทต่อเดือน การปฏิบัติการต่อต้านแก๊ง Call Center ที่กัมพูชา และการจับกุมการหลอกลวงลงทุนคริปโต โยงเครือข่ายการพนันออนไลน์ จับกุมได้ 25 ราย ยึดทรัพย์ 125 ล้านบาท ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ยังจับกุมคดีเว็บพนัน “แม่มนต์”

2.ปิดโซเชียลมีเดีย เว็บผิดกฎหมาย และเว็บพนัน รวม 15,758 รายการ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 9.3 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับเดือน พ.ค.66 ที่มีการปิดกั้นเพียง 1,687 รายการ เช่นเดียวกันกับการปิดกั้นเว็บพนันที่สูงถึง 6,459 รายการในเดือนนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากเดือนเดียวกันของปีก่อนที่มีการปิดเพียง 78 รายการ โดยเพิ่มขึ้น 82.8 เท่า

3.การแก้ปัญหาบัญชีม้า เร่งอายัด ตัดตอนการโอนเงิน ได้ระงับบัญชีม้ากว่า 800,000 บัญชี โดย ปปง. ระงับ 344,079 บัญชี ธนาคารระงับ 300,000 บัญชี และ AOC ระงับ 171,794 บัญชี พร้อมนำมาตรการเข้มงวดในการเปิดบัญชีใหม่ เพื่อตัดตอนการใช้บัญชีในการกระทำความผิด โดยมีการปรับปรุงกระบวนการ Customer Due Diligence และตั้งเป้าระงับ/ปิด บัญชีม้ามากกว่า 12,000 คนต่อเดือน หรือ 100,000 บัญชีต่อเดือน

4.การแก้ไขปัญหาซิมม้า และซิมที่ผูกกับ Mobile Banking โดยระงับการใช้งานหมายเลขที่โทร.ออกเกิน 100 ครั้งต่อวันจำนวน 42,298 เลขหมาย ในนั้นมีเพียง 372 เลขหมายที่ยืนยันตัวตน และ 41,926 เลขหมายไม่ได้ยืนยันตัวตน นอกจากนี้ กสทช. ยังได้กำหนดหลักเกณฑ์ยืนยันตัวตนใหม่ สำหรับผู้ถือซิมการ์ดมากกว่า 100 ซิม โดยมีเลขหมายที่เข้าข่าย 5.0 ล้านเลขหมาย และเลขหมายที่ต้องยืนยันตัวตน 2.6 ล้านเลขหมาย ระงับการใช้งานชั่วคราว 2.3 ล้านเลขหมาย และในกลุ่มผู้ถือซิม 6-100 เลขหมายต่อค่าย มีเลขหมายเข้าข่าย 4.0 ล้านเลขหมาย ยืนยันตัวตนแล้ว 1 ล้านเลขหมาย กระบวนการตรวจสอบซิมที่ใช้กับโมบายแบงกิ้งจะแล้วเสร็จภายใน 120 วัน โดยประชาชนยังสามารถใช้งานโมบายแบงกิ้งได้ตามปกติ และกำลังพิจารณาข้อยกเว้นเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน

5.การดำเนินการเรื่องเสาโทรคมนาคม สายสัญญาณอินเทอร์เน็ต และสายโทรศัพท์ที่ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยสำนักงาน กสทช. สั่งให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตปรับเสาสัญญาณในพื้นที่ชายแดนเสี่ยง เช่น อ.แม่สอด จ.ตาก อ.แม่สาย อ.เชียงของ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี อ.เมือง จ.ระนอง โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 19 มิ.ย.67

6.การแก้กฎหมายเร่งด่วน และปรับปรุงมาตรการเพื่อตอบโต้ปัญหาการฟอกเงินและการกระทำผิดทางการเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเน้น 3 ประเด็นหลัก 1) เพิ่มความเร็วในการคืนเงินให้ผู้เสียหาย 2) การเพิ่มโทษสำหรับการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล และ 3) ป้องกันการโอนเงินผิดกฎหมายโดยใช้สินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ ก.ล.ต. และ ปปง. ได้ยกระดับมาตรฐานการฟอกเงินให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลของ FATF และสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO) ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาบัญชีต้องสงสัย ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ยังได้พิจารณาร่างประกาศเกี่ยวกับการควบคุมบริการขนส่งสินค้า COD เพื่อป้องกันการกระทำผิดออนไลน์

7.การเพิ่มบทบาท ความรับผิดชอบให้ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และธนาคาร ซึ่งกระทรวงดีอี ได้หารือแนวทางร่วมกันกับบริษัท ไลน์ประเทศไทย แพลตฟอร์ม Meta และ X เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาภัยออนไลน์เชิงรุก ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ และการปิดกั้น URL ที่ผิดกฎหมายแบบเชิงรุก

8.การบูรณาการข้อมูล โดยศูนย์ AOC 1441 กระทรวงดีอี ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง MOU ว่าด้วยการให้ความเห็นชอบระบบหรือกระบวนการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center: AOC) ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.), ตร., DSI, ปปง., ธปท. และสำนักงาน กสทช.

“รัฐบาลเร่งดำเนินการบูรณาการในการปราบปรามอาชญากรรมดิจิทัล รวมถึงการจับกุมคนร้าย การกวาดล้างบัญชีม้า และซิมม้า การอายัดบัญชีธนาคาร และการปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงและเว็บพนันออนไลน์ ผลงานในเดือน เม.ย.67 แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำให้เร่งรัดการดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อลดจำนวนผู้เสียหาย และมูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงซื้อขายออนไลน์ เพื่อลดความเดือนร้อนของประชาชน” นายประเสริฐ กล่าว

815,000-plus mule bank accounts closed in May, says DES minister

The technology crime suppression panel also makes several arrests in its second phase of operations in May

The Prevention and Suppression of Technology Crimes (PSTC) Committee has closed more than 815,000 mule accounts in the second phase of its operation, the Digital Economy and Society (DES) Minister Prasert Chanthararuangthong said.

He was speaking to reporters on Wednesday in his capacity as the panel’s chairman.

Prasert said that in the second phase of the operation from May 1 to 31, a total of 815,873 mule accounts were closed – 344,079 by the Anti-Money Laundering Office (AMLO), 300,000 by banks themselves and 171,794 at the request of the Anti-Online Scam Operation Centre (AOC).

The PSTC had been set up by Prime Minister Srettha Thavisin under the 2023 Royal Decree on Measures for Prevention of Technology Crimes in early March. The order was in response to rampant cybercrime cases and a surge in deception cases by call-centre gangs.

815,000-plus mule bank accounts closed in May, says DES minister

Prasert, who is ex-officio chair of PSTC, convened a meeting on Wednesday to check the progress of its operations. The committee comprises representatives from the Royal Thai Police, the National Broadcasting and Telecommunications Commission (NBTC), the Bank of Thailand (BOT), the Thai Bankers’ Association, AMLO, the Department of Special Investigation (DSI), Securities and Exchange Commission, and Telecommunications Association of Thailand.

At the meeting, the participants were informed of the progress made in several operations during the second phase in May, including the closure of mule bank accounts used by conmen to receive money from their prey.

The committee was informed that the central bank has told commercial banks to use the principles of customer due diligence (COD) before allowing individuals to open new bank accounts. COD aims to ensure account holders do not come from any of the risk groups and has been put in place since May 30.

Commercial banks will also widen a crackdown on mule bank accounts by using the names of closed mule accounts’ owners as a basis, the panel was told.

Apart from closing mule accounts, the PSTC operation in May also included:
·Arresting nine suspects and freezing assets worth 70 million baht in a crackdown on BanHuay.com online gambling website
·Arresting 12 suspects working for a Cambodia-based call centre
·Arresting 25 suspects for deceiving victims into investing a total of 350 million baht in crypto coins and freezing their assets worth 125 million baht

The committee also learned that the authorities have blocked access to 15,758 fraudulent social media links and websites during May, and has shut down 6,459 gambling websites during the period.

As for the operation of terminating SIM cards linked to mule mobile banking accounts, 42,298 mobile phone numbers that had made more than 100 calls per day were suspended from service as of May 26. Only 372 of the owners have come forward to identify themselves with mobile phone operators.

The authorities have shortlisted 5 million mobile phone numbers used by people who own more than 100 SIM cards each. So far, 2.6 million of these numbers have been clarified, while 2.3 million of the remaining numbers have been suspended after the owners failed to verify themselves within the February 14 deadline.

815,000-plus mule bank accounts closed in May, says DES minister

The authorities have set a July 13 deadline for owners of more than six but less than 100 SIM cards to come forward to explain their need for so many numbers. Some 4 million numbers fall under this category, and the owners of about a million of them have come forward as of now.

In another development, Prasert said Prof Wisit Wisitsora-At, permanent secretary for DES Ministry, has signed a memorandum of understanding for the AOC to coordinate with the Cyber Crime Investigation Bureau, DSI, AMLO, BOT and NBTC in operations to suppress and prevent cybercrimes.

泰国数字经济与社会部长表示,预防和打击科技犯罪委员会 (PSTC) 已在第二阶段行动中关闭了超过 815,000 个“骡子”账户。

他周三以委员会主席的身份对记者发表了讲话。

在 5 月 1 日至 31 日的第二阶段行动中,共关闭了 815,873 个洗钱账户,其中 344,079 个由反洗钱办公室 (AMLO) 关闭,300,000 个由银行自行关闭,还有 171,794 个是应反网络诈骗行动中心 (AOC) 的要求关闭的。

除了关闭“骡子”账户外,PSTC 5 月份的行动还包括:
·打击网络赌博网站 BanHuay.com,逮捕 9 名嫌疑人,冻结 7000 万泰铢资产
·逮捕 12 名在柬埔寨呼叫中心工作的嫌疑人
·逮捕 25 名嫌疑人,他们欺骗受害者投资总计 3.5 亿泰铢的加密货币,并冻结其价值 1.25 亿泰铢的资产

当局在 5 月份已屏蔽了 15,758 个欺诈性社交媒体链接和网站,并关闭了 6,459 个赌博网站。

在注销手机银行“骡子”账户SIM卡操作方面,截至5月26日,42298个日拨打电话超过100次的手机号码被暂停服务,其中只有372名手机号码持有者主动向手机运营商表明了自己的身份。

当局已将 500 万个手机号码列入候选名单,这些号码的持有者每人拥有 100 多张 SIM 卡。到目前为止,其中 260 万个号码已得到澄清,而其余 230 万个号码因持有者未能在 2 月 14 日截止日期前验证身份而被暂停使用。

当局设定的截止日期是 7 月 13 日,要求持有 6 张以上 100 张以下 SIM 卡的业主出面解释他们为何需要这么多号码。约有 400 万个号码属于此类,截至目前,其中约 100 万个业主已经出面解释。

2024.5.11, โอนคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน โยง “นักการเมืองท้องถิ่นเมืองคอน” ให้ สอท.
ผู้ช่วย ผบ.ตร.ไฟเขียวโอนสำนวนคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ให้ตำรวจไซเบอร์-อัยการสูงสุดรับผิดชอบคดี หลังพบพฤติการณ์เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ แต่ยังไร้วี่แววการออกหมายจับนักการเมืองท้องถิ่นเบื้องหลัง ใกล้ชิดตำรวจระดับนายพล

โอนคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน โยง “นักการเมืองท้องถิ่นเมืองคอน” ให้ สอท.

ผู้ช่วย ผบ.ตร.ไฟเขียวโอนสำนวนคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ให้ตำรวจไซเบอร์-อัยการสูงสุดรับผิดชอบคดี หลังพบพฤติการณ์เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ แต่ยังไร้วี่แววการออกหมายจับนักการเมืองท้องถิ่นเบื้องหลัง ใกล้ชิดตำรวจระดับนายพล

กรณี การเข้าทลายจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ที่ใช้โรงแรมเก่าในย่านตลาดจันดี อำเภอฉวาง และโกดังสินค้าในอำเภอนาบอน นครศรีธรรมราช รวม 4 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาชาวจีนและไทยได้ 71 คน และยังจับกุมขณะหลบหนีในท้องที่จังหวัดชุมพร ได้อีกจำนวนหนึ่ง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา แม้บ่งชี้ได้ถึงความกว้างขวางของขบวนการที่โยงไปถึงเจ้าของสถานที่ตัวจริง ซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง และยังเชื่อมโยงไปถึงชาวจีนที่มีบทบาทความสัมพันธ์เชิงครอบครัว แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถเชื่อมโยงดำเนินการทางกฎหมายได้ ทั้งยังมีของกลางที่ถูกยึด เช่นคอมพิวเตอร์พีซีกว่า 200 เครื่อง โทรศัพท์มือถือกว่า 1 พันเครื่อง สมุดบัญชีแทบทุกธนาคารในประเทศไทยนับร้อยเล่ม ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นบัญชีที่ถูกเรียกว่า “บัญชีม้า” ซิมการ์ดอีกนับร้อย รวมทั้งของกลางอื่นๆ อีกหลายรายการ

ความคืบหน้าล่าสุดเริ่มมีความชัดเจนขึ้น โดยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ได้เข้าชี้แจงข้อมูลคดีต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฏข้อมูลสำคัญจากการสรุปของคณะกรรมาธิการว่า คดีได้ถูกยกระดับเป็นลักษณะขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้อนุมัติให้มีการโอนสำนวนการสอบสวนคดีจากกองบังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ไปยังกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ตำรวจไซเบอร์) เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญ และมีเครื่องมือการสืบสวนสอบสวนที่มีความพร้อม

และได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องหาชาวจีน และชาวไทยอีกจำนวนหนึ่ง รวมจำนวน 63 ราย โดยทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตัวเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และได้แจ้งต่ออัยการสูงสุด เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดีตาม ป.วิอาญา มาตรา 20 แล้ว ซึ่งเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา กองบังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ได้ส่งสำนวนพร้อมของกลางทั้งหมดให้กับ บช.สอท.ดำเนินการแล้ว

ส่วนการฝากขังผู้ต้องหาขณะนี้เข้าสู่ผลัดที่ 4 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม และกำลังเป็นที่กังวลว่า จะสามารถทำสำนวนส่งฟ้องได้ทันหรือไม่

ขณะเดียวกันการจับตาว่าจะมีการเชื่อมโยงไปถึงครอบครัวของนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง ซึ่งถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนที่ใหญ่ที่สุดที่เคยจับได้ในประเทศไทยแก๊งนี้ กลับยังไม่มีความคืบหน้า และเป็นที่จับตาว่านักการเมืองรายดังกล่าว มีความเชื่อมโยงกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่บางนายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งในและนอกราชการ รวมทั้งยังมักปรากฏตัวกับนักการเมืองระดับประเทศบ่อยครั้ง.

助理警察指挥官批准移交洛坤府华人呼叫中心团伙案件,让网络警察和总检察长负责此案。

2024.5.7, เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มจีนเทา ระดับสั่งการ ถูกจับขณะเดินทางเข้ามามายังไทย หลังจากก่อนหน้านี้ใช้ช่องทางธรรมชาติผ่านประตูรับซึ่งสร้างเป็นร้านค้าประชิดแนวชายแดน แต่หลังจากตำรวจสอบสวนกลาง จับกลุ่มคนพาจีนเทาข้ามแดน และปิดช่องลับได้ จีนเทาจึงต้องใช้ช่องทางผ่านด่านตามปกติ โดยจีนเทารายล่าสุดที่ถูกจับได้เป็นคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกเป็นตำรวจและเจ้าหน้าที่ ปปง. พบผู้สูงอายุตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก
ตำรวจสอบสวนกลางโดย ตำรวจ ปอท. จับนายฮี เทียนหวังสัญชาติจีน อายุ 30 ปี ผู้ต้องหารายสำคัญระดับสั่งการและฟอกเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชาได้ขณะกำลังเดินทางเข้ามายังฝั่งไทยจากฝั่งประเทศกัมพูชา จึงได้ร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว จับกุมตัว

เปิดเบื้องหลัง จับจีนเทาระดับสั่งการแก๊งคอลฯ ขณะข้ามแดนเข้าไทย พบโกงเหยื่อกว่า 100 คดี

เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มจีนเทา ระดับสั่งการ ถูกจับขณะเดินทางเข้ามามายังไทย หลังจากก่อนหน้านี้ใช้ช่องทางธรรมชาติผ่านประตูรับซึ่งสร้างเป็นร้านค้าประชิดแนวชายแดน แต่หลังจากตำรวจสอบสวนกลาง จับกลุ่มคนพาจีนเทาข้ามแดน และปิดช่องลับได้ จีนเทาจึงต้องใช้ช่องทางผ่านด่านตามปกติ โดยจีนเทารายล่าสุดที่ถูกจับได้เป็นคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกเป็นตำรวจและเจ้าหน้าที่ ปปง. พบผู้สูงอายุตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก

ตำรวจสอบสวนกลางโดย ตำรวจ ปอท. จับนายฮี เทียนหวังสัญชาติจีน อายุ 30 ปี ผู้ต้องหารายสำคัญระดับสั่งการและฟอกเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชาได้ขณะกำลังเดินทางเข้ามายังฝั่งไทยจากฝั่งประเทศกัมพูชา จึงได้ร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว จับกุมตัว

ตำรวจ กก3 ปอท สอบถามคำให้การเบื้องต้นผู้ต้องหา ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าไปทำงานเป็นพนักงานโรงแรมที่ปอยเปตไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการคอลเซ็นเตอร์และที่เดินทางมาในไทย เพื่อเตรียมจะขึ้นเครื่องต่อไปยังจีน ขัดแย้งกับหลักฐาน

ที่ตำรวจพบว่า นายฮี เป็นคนฟอกเงิน ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่ง1 ในเหยื่อ เป็นหญิงสูงอายุ 75 ปี ว่าบัญชีธนาคารเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยใช้หมายเลข +191 อ้างว่าเป็นตำรวจจันทบุรีและ เจ้าหน้าที่ ปปง. จนสูญเงินรวม 10.9 ล้านบาท และยังมีเหยื่อรายอื่นๆอีกกว่า 100 คดี แต่นายฮีปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นอย่างเดียว

ขณะที่ช่วงนี้ ยังมีจีนเทา กำลังจะเดินทางไปทำงานที่ปอยเปตให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ถูกตำรวจจับได้ ชื่อนายยูน อายุ 27 ปี ขณะยืนอยู่ที่ร้านอาหารในอำเภออรัญประเทศ เพื่อรอนายหน้ามาพาข้ามแดนไปตามช่องทางธรรมชาติก่อนหน้าก่อนหน้านี้ทำงานกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่เมียนมาร์แต่ เกิดเหตุไม่สงบจึงเปลี่ยนที่จะไปทำงาน ให้แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่ปอยเปต และกลุ่ม บัญชีม้าซึ่งเป็นต้น ทางให้จีนเทาใช้โอนเงินจากเหยื่อ

โดยก่อนหน้านี้ตำรวจได้จับกุมบัญชีม้าที่ข้ามไปทำงานฝั่งปอยเปรตได้จำนวนมาก จึงจับนายม่วงได้ที่อำเภออรัญประเทศ จากการสอบสวนกลุ่มบัญชีม้า ให้การว่ามี “นาย ม่วง” หรือ นายปฏิภาณฯ อายุ 27 ปี ชาวจังหวัดสระแก้ว เป็นตัวการสำคัญในการชักชวน และพาบัญชีม้าข้ามแดนไปฝั่งปอยเปต นายม่วงรับสารภาพว่าทำหน้าที่ ประสานกับนายหน้าบัญชีม้า ทั้งในจังหวัดสระแก้วและจังหวัดใกล้เคียง เพื่อพาคนที่รับจ้างเปิดบัญชีม้า ข้ามช่องทางธรรมชาติไปฝั่งปอยเปต

โดยจะพาไปส่งให้ล่ามของบอสชาวจีนชื่อ “เจินเจิน” ซึ่งถูกจับไปก่อนหน้านี้ โดยจะได้รับค่าจ้างหัวละประมาณ 3,000-5,000 บาท และนอกจากนี้ผู้ต้องหายังให้การรับว่า ได้ทำลักษณะเช่นนี้มานานกว่า 6 เดือน รวมจำนวนบัญชีม้าคนไทยที่ส่งให้แก๊ง Call Center รวมกว่า 300 ราย โดยนางสาวพรทิพาฯ อายุ 33 ปี หรือเจิน เจิน ล่ามให้กับบอสชาวจีน ในการสั่งงานพนักงาน Call Center ในการโยกเงินจากบัญชีม้าและการฟอกเงินผ่านคริปโตฯ ที่ออฟฟิศฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา

โดยจับกุมได้ที่ด่าน ตม.คลองลึก จ.สระแก้วก่อนหน้านี้ ขณะกำลังจะข้ามพรมแดนไปทำงานให้บอสจีนที่ออฟฟิศฝั่งปอยเปต

โดยพบว่าแก๊ง Call Center แก๊งนี้ มีการหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่างๆ ทั้งการโทรศัพท์ข่มขู่, หลอกติดตั้งแอปฯ ดูดเงิน, หลอกทำภารกิจ และการหลอกลงทุนรูปแบบต่างๆ โดยพบประวัติการแจ้งความออนไลน์ จำนวนกว่า 1,000 คดี

รวบคาด่านสระแก้ว บอสชาวจีน สั่งการ-บริหารเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่

ตำรวจสอบสวนกลาง ขยายผลรวบบอสชาวจีน สั่งการ-บริหารเงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ คาด่านสระแก้ว

วันที่ 7 พ.ค. 2567 พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) สั่งการให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เข้าจับกุม MR.HE สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1844/256 ลงวันที่ 25 เม.ย. 2567 ในความผิดฐาน “มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงคนเป็นบุคคลอื่น”

และโดยทุจริตหรือหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

สถานที่จับกุม อาคารผู้โดยสารขาเข้า จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้วพฤติการณ์ สืบเนื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปอท. ได้สืบสวนสอบสวนคดีที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โทรศัพท์หลอกผู้เสียหายวัย 75 ปี ว่าบัญชีธนาคารเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยใช้หมายเลข +191 อ้างว่าเป็นตำรวจจันทบุรีและ เจ้าหน้าที่ ปปง. จนผู้เสียหายสูญเงินรวม 10.9 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องที่เป็นบัญชีม้า ได้รวม 5 ราย รวมทั้งล่ามเจินเจิน และนายม่วง คนพาบัญชีม้าข้ามแดนไปส่งให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งปอยเปต (ตามที่ปรากฏข่าวกับสื่อมวลชนไปก่อนหน้านี้) นำไปสู่การขยายผลเพื่อจับกุมให้ได้ทั้งขบวนการ

ล่าสุดตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญซึ่งเป็นระดับสั่งการและบริหารการเงินของเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ได้แก่ MR.HE สัญชาติจีน อายุ 30 ปี ขณะกำลังเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจากฝั่งประเทศกัมพูชา เพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศจีน จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว จับกุมตัวผู้ต้องหาคนดังกล่าว ก่อนนำตัว ส่ง พนักงานสอบสวน กก.3 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สอบถามคำให้การเบื้องต้นผู้ต้องหา ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าไปทำงานเป็นพนักงานโรงแรมที่ปอยเปตเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการนี้แต่อย่างไร และที่เดินทางมาในไทย เพื่อเตรียมจะขึ้นเครื่องต่อไปยังประเทศจีน ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากมีพยานหลักฐานการกระทำความผิดชัดเจน

泰国皇家警察中央警方调查逮捕了中国公民Hee Tianwang先生,30岁,为波贝呼叫中心团伙订购和洗钱的主要嫌疑人。
刑事法院2024年4月25日第1844/256号逮捕令,罪名是“参加跨国犯罪组织,串通冒充他人诈骗公众”罪

2024.5.6, ปอศ.จับเซียนหุ้นตกอับ รับจ้างเปิดบัญชีม้าให้เว็บพนันออนไลน์-แก๊งหลอกเทรดเงิน
(今天(5 月 6 日),第二警察总部警察总监 Wanitchaya Chaiprung 率领部队逮捕了 Peeraphan 先生,38岁,根据孔敬省法院2023年4月26日发出的第224/2023号逮捕令,罪名是“欺诈、欺骗公众以及将虚假信息输入计算机”。Peeraphan先生最初是一名股票交易员,拥有数字资产投资和国内外股票投资的知识。但后来,他却被雇佣开立账户进行诈骗投资、数字货币交易、赌博网站,它被用来骗取许多人的钱财。有很多受害者向法院报案,直到法院发出逮捕令,警方发现Peeraphan先生已逃往罗勇府地区躲藏,才将他逮捕。)

ปอศ.จับเซียนหุ้นตกอับ รับจ้างเปิดบัญชีม้าให้เว็บพนันออนไลน์-แก๊งหลอกเทรดเงิน

ตำรวจ ปอศ.รวบเซียนหุ้นตกอับ ผันตัวรับจ้างเปิดบัญชีม้าให้เว็บพนันออนไลน์-แก๊งหลอกเทรดเงินดิจิทัล สารภาพได้ค่าจ้าง 700 -1,000 บาทต่อบัญชี

วันนี้ (6 พ.ค.) พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. สั่งการ พ.ต.อ.ชัชวาล ชูชัยเจริญ ผกก.2 บก.ปอศ. พ.ต.ท.หญิง วณิชยา ไชยปรุง สว.กก.2 บก.ปอศ. นำกำลังจับกุม นายพีรพันธ์ หรือสิทธิเจตต์ (สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น ที่ จ. 224/2566 ลงวันที่ 26 เม.ย.66 ข้อหา “ฉ้อโกง ,ฉ้อโกงประชาชน และ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ” ได้ในพื้นที่ ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง

ทั้งนี้ นายพีรพันธ์ เดิมทีมีอาชีพเป็นนักเทรดหุ้นมีความรู้เรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลและการลงทุนหุ้นทั้งในและต่างประเทศ แต่ภายหลังกลับมีพฤติกรรมรับจ้างเปิดบัญชีม้าให้กับขบวนการหลอกลงทุนเทรดเงินดิจิทัลและเว็บพนัน นำไปใช้หลอกลวงเงินผู้คนจำนวนมาก มีผู้เสียหายหลายรายเข้าแจ้งความจนศาลออกหมายจับไว้ กระทั่งตำรวจ ปอศ. สืบทราบว่าปัจจุบัน นายพีรพันธ์ ได้หนีมากบดานในพื้นที่ จ.ระยอง จึงนำกำลังจับกุมได้ดังกล่าว

สอบสวน นายพีรพันธ์ ให้การรับสารภาพ เคยรับจ้างเปิดบัญชีม้าเพื่อแลกกับเงินค่าจ้าง 700 บาท ถึง 1,000 บาท ต่อ 1 บัญชีจริง โดยขายให้กับคนรู้จักไป ประมาณ 7 บัญชี จึงนำตัวส่ง สภ.บ้านเป็ด ดำเนินคดีต่อไป

รวบนักเทรดหุ้นมือดี ขายบัญชีม้าให้แก๊งตุ๋นหลอกลงทุนออนไลน์ แลกเงิน 700

ตำรวจ ปอศ. บุกรวบนักเทรดหุ้นมือดี คิดสั้น ขายบัญชีม้าแก๊งหลอกลงทุนออนไลน์ สุดท้ายถูกจับหมดอนาคต สารภาพรับจ้างเปิดบัญชีม้าเพื่อแลกกับเงิน 700-1,000 บาท

เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 67 พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. สั่งการ พ.ต.อ.ชัชวาล ชูชัยเจริญ ผกก.2 บก.ปอศ.พ.ต.ท.หญิง วณิชยา ไชยปรุง สว.กก.2 บก.ปอศ. จับกุมนายพีรพันธ์ หรือสิทธิเจตต์ อายุ 38 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น ที่ จ. 224/2566 ลงวันที่ 26 เม.ย. 2566 ข้อหา “ฉ้อโกง, ฉ้อโกงประชาชน และหลอกลวงโดยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ” ได้ในพื้นที่ ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง

สืบเนื่องจากนายพีรพันธ์ เดิมทีมีอาชีพเป็นนักเทรดหุ้นมีความรู้เรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และการลงทุนหุ้นทั้งในและต่างประเทศ แต่ภายหลังกลับมีพฤติกรรมรับจ้างเปิดบัญชีม้าให้กับขบวนการหลอกลงทุนเทรดเงินดิจิทัลและเว็บพนัน นำไปใช้หลอกลวงเงินผู้คนจำนวนมาก จนมีการเข้าแจ้งความออกหมายจับ ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทราบว่าปัจจุบัน นายพีรพันธ์ ได้หนีมาซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ จ.ระยอง จึงนำกำลังตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว

สอบสวน นายพีรพันธ์ ให้การรับสารภาพ เคยรับจ้างเปิดบัญชีม้าเพื่อแลกกับเงินค่าจ้าง 700 บาท ถึง 1,000 บาท ต่อ 1 บัญชี จริง โดยขายให้กับคนรู้จักไป ประมาณ 7 บัญชี เบื้องต้นจึงนำตัวส่ง สภ.บ้านเป็ด ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

2024.5.6, จับแก๊งหลอกลงทุนเครื่องจักรโรงงาน ปลอมเป็นวิศวะ ตุ๋นนายหน้าประกัน 5 ล้าน
(抓获网络“诈骗投资” 工厂机械案,冒充墨西哥工程师,骗取保险经纪人逾500万)

จับแก๊งหลอกลงทุนเครื่องจักรโรงงาน ปลอมเป็นวิศวะ ตุ๋นนายหน้าประกัน 5 ล้าน

ตำรวจไซเบอร์ จับเครือข่ายหลอกลงทุนเครื่องจักรโรงงาน ปลอมเป็นวิศวะเม็กซิกัน ตุ๋นนายหน้าประกันไปกว่า 5 ล้าน

กรณีจับเครือข่าย”หลอกลงทุน” เครื่องจักรโรงงาน ปลอมเป็นวิศวะเม็กซิกัน ตุ๋นนายหน้าประกันไปกว่า 5 ล้าน สืบเนื่องจาก มีผู้เสียหายหญิงรายหนึ่ง อายุ 54 ปี มีอาชีพเป็นนายหน้าประกันและประกอบธุรกิจส่วนตัวได้ถูกมิจฉาชีพปลอมโปรไฟล์เฟซบุ๊กเป็นชายวัย 40 ปี อ้างว่าทำงานเป็นวิศวกรในประเทศเม็กซิโก แล้วได้ติดต่อพูดคุยกันนานกว่า 1 เดือนจนเกิดความสนิทสนม

ต่อมา มิจฉาชีพได้เปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์ม WhatsApp ในการพูดคุย แล้วได้ขอความช่วยเหลือให้ผู้เสียหายช่วยทำธุรกรรมในการโอนเงินค่าเครื่องจักรอุตสาหกรรมไปยังบัญชีปลายทางในประเทศจีนให้ เนื่องจากพื้นที่ที่วิศวกร (ปลอม) อาศัยอยู่มีปัญหาเรื่องระบบอินเตอร์เน็ต จึงได้ส่งลิงก์ปลอมที่อ้างว่าเป็นระบบทำธุรกรรมของธนาคารจีน โดยได้แนะนำให้ผู้เสียหายทำรายการผ่านลิงก์ดังกล่าว และให้โอนเงินจำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐไปยังบัญชีปลายทางที่แจ้งในระบบ

ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงตั้งใจทะยอยโอนเงินไป 2 ครั้ง แต่วันแรกโอนไปได้เพียงครั้งเดียว จำนวน 50,000 ดอลลาร์ดอลลาร์สหรัฐ วันต่อมาต้องการโอนครั้งที่ 2 แต่ปรากฏว่าบัญชีปลายทางถูกระงับ จึงได้แจ้งให้วิศวกร(ปลอม) ทราบ

ต่อมา วิศวกร (ปลอม) ได้แนะนำให้ผู้เสียหายติดต่อกับมิจฉาชีพอีกคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารจากประเทศจีน โดยเจ้าหน้าที่ธนาคาร (ปลอม) แนะนำให้ผู้เสียโอนเงินเพื่อเปิดบัญชีให้วิศวกรเป็นสกุลไทย จำนวน 204,000 บาท เพื่อจะนำเงินที่เหลือในบัญชีของวิศวกร(ปลอม) ออกมาได้ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินจำนวนดังกล่าวไป

ต่อมาวิศวกร (ปลอม) ก็ยังชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนเกี่ยวกับเครื่องจักรโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มเติม โดยอ้างว่าถ้าหากโอนเงิน 1,030,450 บาท ภายใน 3 ชม. จะได้เงินค่าตอบแทน 50,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไป และหลังจากนั้นผู้เสียหายยังได้โอนเงินเข้าบัญชีคนร้ายอีกหลายครั้งตามเหตุผลต่างๆ ที่มิจฉาชีพจะยกมาอ้าง รวมความเสียหายทั้งสิ้น จำนวน 5,269,450 บาท

จากกรณีข้างต้น พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้จับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องให้ได้ทั้งขบวนการ โดยมีการออกหมายจับและจับกุมผู้เกี่ยวข้องไปแล้วหลายรายและได้ทำการขยายผลมาอย่างต่อเนื่อง

ต่อมา พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 จึงมอบหมาย ว่าที่ พ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 จัดทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สืบสวนเพื่อจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี จนกระทั่งสามารถนำกำลังพร้อมหมายจับศาลจังหวัดชัยภูมิ เข้าควบคุมตัวนายวันชัย อายุ 45 ปี ชาวยโสธร ได้บริเวณริมถนนหน้าร้านขายไอศกรีมแห่งหนึ่ง ริมถนนมิตรภาพสายเก่า ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จว.นครราชสีมา

จึงแจ้งข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการล้วงหรือแสดงตนเป็นบุคคลอื่นร่วมกันโดยทุจริตนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จทั้งหมดหรือบางส่วนโดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” โดยเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดทุกข้อกล่าวหา จึงนำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย

2024.5.3, ตำรวจไซเบอร์ขยายผลหลอกลงทุนคริปโต 530 ล้าน คุณตาใจถึง โอนไปคนเดียว 308 ล้าน
(网络警察开展行动,以打击加密货币投资诈骗,在这起案件中,有 5 名受害者被骗子欺骗,骗子创建了虚假个人资料,诱骗他们投资数字资产或加密货币,造成总计超过 5.3 亿泰铢的损失,其中一名受害者是一名 73 岁的男子,他被骗投资了3.08亿(308,204,326.50)泰铢)

จับแก๊งหลอกลงทุนคริปโต 530 ล้าน คุณตาใจถึง โอนไปคนเดียว 308 ล้าน

ตำรวจไซเบอร์ขยายผลหลอกลงทุนคริปโต 530 ล้าน คุณตาใจถึง โอนไปคนเดียว 308 ล้าน

สืบเนื่องจากเมื่อ 23 เม.ย.67 ที่ผ่านมา ตำรวจไซเบอร์ได้แถลงปฏิบัติการ BLACK HAT ล่าล้างขบวนการหลอกลงทุนคริปโต ตรวจยึดทรัพย์สินกว่า 125 ล้าน เพื่อเตรียมเฉลี่ยคืนแก่ผู้เสียหาย โดยเป็นกรณีที่มีผู้เสียหาย จำนวน 5 ราย โดนมิจฉาชีพสร้างโปรไฟล์ปลอมแล้วหลอกลวงให้ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Cryptocurrency สร้างความเสียหายรวมกันมูลค่ากว่า 530 ล้านบาท โดยมี 1 ในผู้เสียหายเป็นชายอายุ 73 ปีโดนหลอกให้ลงทุนมากถึง 308,204,326.50 บาท

ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจของคดีนี้ คือ เส้นทางการเงินของคดีหลอกลงทุนคริปโตดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับเส้นทางการเงินในคดีเว็บพนันออนไลน์จำนวน 2 เครือข่าย มียอดเงินหมุนเวียนกว่า 13,000 ล้านบาท จนนำมาสู่การจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 23 ราย พร้อมยึดเงินสดกว่า 117 ล้านบาท พร้อมทั้งรถยนต์ Porsche จำนวน 1 คัน มูลค่า 8 ล้านบาท รวมทรัพย์สินทั้งสิ้น มูลค่ากว่า 125 ล้านบาท เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบและนำมาเฉลี่ยทรัพย์คืนให้แก่ผู้เสียหาย

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.ได้สั่งการให้ขยายผลทุกมิติ โดยให้จับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องให้ได้ทั้งขบวนการ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 จึงมอบหมาย ว่าที่ พ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 จัดทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สืบสวนเพิ่มเติม จนกระทั่งพบข้อมูลว่า นายประดิษฐ์ อายุ 30 ปี ชาวขอนแก่น หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการ ได้หลบหนีไปกบดานอยู่ในพื้นที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

กระทั่งชุดสืบสวนได้วางกำลังเฝ้ารอ เมื่อพบตัวจึงนำหมายจับศาลอาญา ที่ 1655/2567 ลง 22 เม.ย.67 เข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาดังกล่าวได้บริเวณหน้าห้องแถวในพื้นที่ หมู่ 1 ซอย 5 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จึงแจ้งข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน” โดยเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดทุกข้อกล่าวหา จึงนำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

2024.5.3, มาดามแป้ง แจ้งความเอาผิดมิจฉาชีพหลอกลงทุน เตือนอย่าหลงเชื่อ
(2024年5月3日,泰国足协主席Pang-Nuanphan Lamsam女士告诫人们不要上当。骗子冒充她的名字和照片后在网络媒体上传播虚假信息。为了保护无辜人民免受犯罪分子的侵害该团队已于 2024 年 4 月 10 日提起法律投诉,并将对实施此类行为的个人或团体采取最严厉的行动。)

มาดามแป้ง แจ้งความเอาผิดมิจฉาชีพหลอกลงทุน เตือนอย่าหลงเชื่อ

มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เตือนภัย อย่าหลงเชื่อ ! มิจฉาชีพแอบอ้างชื่อมาดามแป้ง เพื่อหลอกลวงประชาชน แจ้งความตามกฎหมายแล้วเมื่อ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา

วันที่ 3 พฤษภาคม 2567 มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อเตือนภัยประชาชนไม่ให้หลงเชื่อ หลังจากมีมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อและภาพ เพื่อเผยแพร่ข้อความอันเป็นข้อมูลเท็จในสื่อออนไลน์ พร้อมยืนยันว่าได้ดำเนินการแจ้งความเพื่อดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด โดยในโพสต์ดังกล่าวมีข้อความระบุว่า

ตามที่มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้นำภาพและข้อความเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ลงทุน หรือทำธุรกรรมทางการเงินใด ๆ ซึ่งอ้างถึงมาดามแป้ง “นวลพรรณ ล่ำซำ” โดยมีเจตนาเพื่อให้ผู้อ่านหลงเชื่อตามคำโฆษณาดังกล่าว

ขอแจ้งให้ทราบว่า การโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับมาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ ดังนั้น ขอให้ประชาชนทุกท่านอย่าได้หลงเชื่อ และอย่าได้ดำเนินการใด ๆ ตามคำโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าวทั้งสิ้น

เพื่อเป็นการปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์จากมิจฉาชีพ ทางทีมงานได้ดำเนินการแจ้งความตามกฎหมายไว้เมื่อ 10 เมษายน 2567 และจะดำเนินการอย่างถึงที่สุดแก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่กระทำการดังกล่าว

2024.4.28, ตำรวจไซเบอร์บุก 2 เหมืองบิทคอยน์ลักใช้ไฟหลวงกว่า 2 เดือน
ยึดเครื่องขุด 652 เครื่อง มูลค่ากว่า 200 ล้าน
泰国网络警察联合电力局等部门人员近日成功破获一起涉及加密货币挖矿业务的诈骗案,取缔龙仔厝府和叻丕府两个挖矿机房,查获652台挖矿机,价值2亿铢。据悉,该团伙偷用国家电力2个月,造成大约500万铢的损失。

ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท.

ตำรวจไซเบอร์บุก 2 เหมืองบิทคอยน์ลักใช้ไฟหลวงกว่า 2 เดือน
ยึดเครื่องขุด 652 เครื่อง มูลค่ากว่า 200 ล้าน
.
สืบเนื่องจากตำรวจไซเบอร์ได้สืบสวนพบว่ามีกรณีเกิดการหลอกลวงลงทุน ซื้อ หรือ เช่ากำลังขุดเหมืองสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) แบบ Cloud Mining ซึ่งสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยมิจฉาชีพชักชวนซื้อขายเครื่องขุดบิทคอยน์ในราคาต่ำกว่าราคาท้องตลาดมากจนน่าสงสัย และยังมีการรับฝากวางเครื่องขุดดังกล่าว โดยเก็บค่าดูแลและค่าไฟฟ้าต่ำกว่าความเป็นจริง และคาดว่าอาจจะมีการลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายด้วย จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
.
พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงมอบหมายให้ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 จัดเจ้าหน้าที่ออกสืบสวนกรณีดังกล่าว โดย กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 ได้ประสานงานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 1 (ภาคใต้) จังหวัดเพชรบุรี จนพบข้อมูลว่า มีการซื้อขายเครื่องขุดบิทคอยน์ และรับฝากวางทำเป็นเหมืองขุดที่โรงเจของศาลเจ้าพ่อแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.หนองสองห้อง อ.บ้านแพ้ว
จ.สมุทรสาคร
.
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว พบว่าโรงเจดังกล่าวมีปริมาณการใช้ไฟฟ้ามากในลักษณะผิดปกติ โดยผู้ที่ขายและรับฝากวางเครื่องขุดดังกล่าว คือนายสมหวัง (สงวนนามสกุล) จึงได้ทำการสืบต่อไปจนพบว่า นอกจากที่โรงเจของศาลเจ้าพ่อดังกล่าวแล้ว ยังพบสถานที่ที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้ามากอย่างผิดปกติอีกหนึ่งแห่ง คือ บริเวณโกดัง 2 อาคารแห่งหนึ่ง ในพื้นที่เขาแก่นจันทร์ อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งคาดว่าเป็นการทำเหมือง
บิทคอยน์ด้วยเช่นกัน จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายค้นทั้ง 2 จุด
.
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 จึงได้นำกำลังบุกตรวจค้นเป้าหมายพร้อมกันทั้ง 2 จุด โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเข้าทำการตรวจสอบด้วย จากผลการตรวจค้น พบข้อมูลดังนี้
.
จุดที่ 1 โรงเจของศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ต.หนองสองห้อง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ตรวจพบเหมืองบิทคอยน์ โดยทำเป็นอาคารทึบ อยู่บริเวณโรงจอดรถของศาลเจ้าดังกล่าว มีนายสมบัติ (ขอสงวนนามสกุล) แสดงตัวเป็น
ผู้ควบคุมดูแล จากการตรวจค้นพบ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์สำหรับขุดบิทคอยน์ประกอบกันในลักษณะเป็นเหมืองขุด จำนวน 187 เครื่อง และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า
ยังพบว่า มีการดัดแปลงบริเวณมิเตอร์ไฟฟ้าซึ่งทำให้กระแสไฟฟ้าผิดปกติ
.
จุดที่ 2 โกดัง บริเวณเขาแก่นจันทร์ อ.เมือง จ.ราชบุรี พบเหมืองบิทคอยน์ ทำเป็นอาคารทึบ มีนายสมหวัง (ขอสงวนนามสกุล) แสดงตัวเป็นผู้ควบคุมดูแลเหมือง และมีนายนายเกียรติก้อง (ขอสงวนนามสกุล) ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมดูแลอาคารและเครื่องขุดดังกล่าว จากการตรวจค้น พบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์สำหรับขุดบิทคอยน์ประกอบกันในลักษณะเป็นเหมืองขุด จำนวน 465 เครื่อง และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า พบว่ามีการดัดแปลงมิเตอร์ไฟฟ้าซึ่งทำให้กระแสไฟฟ้าผิดปกติ
.
รวมของกลางที่ตรวจยึดได้ ดังนี้
1.เครื่องขุดบิทคอยน์ มูลค่าประมาณ 3.5 แสนบาท จำนวน 652 เครื่อง รวมมูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท
2.มิเตอร์ไฟฟ้าที่ถูกดัดแปลง จำนวน 2 มิเตอร์
นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป
.
จากการสอบถามเบื้องต้น นายสมบัติฯ และนายสมหวังฯ ให้ข้อมูลว่า ได้เปิดเหมืองมาแล้วประมาณ 2 เดือน ได้ประกอบการขายเครื่องขุดบิทคอยน์ โดยได้นำเข้าเครื่องมาจากประเทศจีนโดยผ่านพิธีศุลกากรถูกต้อง และนำมาจำหน่ายให้แก่บุคคลทั่วไป หากลูกค้าที่ซื้อเครื่องขุดแล้ว ตนเองจะรับฝากเครื่อง โดยคิดค่ารับฝากรวมค่าไฟฟ้า เป็นเงิน 6,200 บาท เท่านั้น ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ปกติแล้วเครื่องขุดบิทคอย์ดังกล่าว หากเปิดขุดตลอดทั้งเดือน จะเสียค่าไฟฟ้าประมาณ 9,000 บาท ต่อ 1 เครื่อง จึงมีจุดสังเกตว่าในการรับฝากวางนั้น การคิดราคาค่าไฟฟ้าและค่าดูแลเพียง 6,200 บาท นั้นก็เพื่อจูงใจลูกค้า
.
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า พบว่ามีการดัดแปลงมิเตอร์ไฟฟ้าเพื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านมิเตอร์ไม่เต็มตามที่ใช้จริง และมีบางส่วนเป็นการต่อกระแสไฟฟ้าโดยไม่ผ่านมิเตอร์ เพื่อเป็นการลดต้นทุนสำหรับค่าไฟฟ้า โดยจากการคำนวณค่าไฟฟ้าที่รัฐเสียหายจากทั้ง 2 จุด พบว่ามีมูลค่าประมาณ 5 ล้านบาท
.
สำหรับ Cryptocurrency หรือ สกุลเงินดิจิทัล นั้น เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งที่มีการเข้ารหัส โดยใช้โค้ดคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าผ่านอินเทอร์เน็ต มีราคากลางในการซื้อขายแปรผันตามกลไกตลาด ซึ่งในปัจจุบันได้เข้ามามีบทบาทจนเป็นกระแสสังคม และเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนหน้าใหม่ที่ต้องการเก็งกำไรในตลาด และยังเป็นหนึ่งในแผนประทุษกรรมที่มิจฉาชีพมักฉวยโอกาสหาช่องว่างในการหลอกลวงผู้เสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงชักชวนให้เข้ามาร่วมลงทุนในธุรกิจการขุดเหมืองสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) หรือการเช่าหรือซื้อกำลังขุดสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ เช่น Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), Tether (USDT), Binance Coin (BNB), Dogecoin (DOGE) เป็นต้น
.
พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 จึงขอเตือนภัยไปยังนักขุดบิดคอยน์ที่เห็นว่าช่วงนี้ราคาคริปโตเคอเรนซี่ในตลาดมีราคาพุ่งสูงขึ้นมาก ในหลายๆ สกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะเหรียญบิทคอยน์นั้น มีราคาแตะ 2.5 ล้านบาท ทำให้เหมาะสำหรับการลงทุนเทรดโดยใช้เครื่องขุด จึงต้องระมัดระวังในการซื้อ และการฝากวางเครื่องกับเหมืองต่างๆ อาจโดนจูงใจโดยการรับฝากในราคาที่น้อยกว่าปกติหรือไม่สมเหตุสมผลกับค่าไฟฟ้าที่แท้จริง สุดท้ายเหมืองอาจจะมีการลักไฟฟ้ามาเพื่อทำการขุดเหรียญ ซึ่งหากถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ตรวจยึด ท่านอาจจะได้รับความเสียหายจากการฝากวางเครื่องได้ หากท่านใดพบการใช้ไฟฟ้าและเหมืองบิทคอยที่ผิดปกติ สามารถแจ้งตำรวจไซเบอร์ หรือโทร 1441 ได้ทันที

ทลายเหมืองขุดเงินดิจิทัล สมุทรสาคร-ราชบุรี ยึดคอมพ์ 652 เครื่อง 2 ร้อยล้าน
29 เม.ย. 2024 เวลา 10:38 น.
ทลายเหมืองขุดเงินดิจิทัล สมุทรสาคร-ราชบุรี ยึดคอมพ์ 652 เครื่อง 2 ร้อยล้าน
บุกทลายเหมืองขุดเงินดิจิทัล Bitcoin สมุทรสาคร-ราชบุรี ยึดเครื่องขุด 652 เครื่อง มูลค่า 2 ร้อยล้าน แอบลักใช้ไฟหลวงกว่า 2 เดือน มูลค่าประมาณ 5 ล้าน
กรณีตำรวจบุกทลาย เหมืองขุดเงินดิจิทัล Bitcoin สมุทรสาคร-ราชบุรี สืบเนื่องจากตำรวจไซเบอร์ได้สืบสวนพบว่ามีกรณีเกิดการหลอกลวงลงทุน ซื้อ หรือ เช่ากำลังขุดเหมืองสกุลเงินดิจิทัล Cryptocurrency แบบ Cloud Mining

สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยมิจฉาชีพชักชวนซื้อขายเครื่องขุดบิทคอยน์ในราคาต่ำกว่าราคาท้องตลาดมากจนน่าสงสัย และยังมีการรับฝากวางเครื่องขุดดังกล่าว

โดยเก็บค่าดูแลและค่าไฟฟ้าต่ำกว่าความเป็นจริง และคาดว่าอาจจะมีการลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายด้วย จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงมอบหมายให้ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 จัดเจ้าหน้าที่ออกสืบสวนกรณีดังกล่าว โดย กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 ได้ประสานงานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 1 (ภาคใต้) จังหวัดเพชรบุรี จนพบข้อมูลว่า มีการซื้อขายเครื่องขุดบิทคอยน์ และรับฝากวางทำเป็นเหมืองขุดที่โรงเจของศาลเจ้าพ่อแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.หนองสองห้อง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร

ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว พบว่าโรงเจดังกล่าวมีปริมาณการใช้ไฟฟ้ามากในลักษณะผิดปกติ โดยผู้ที่ขายและรับฝากวางเครื่องขุดดังกล่าว คือนายสมหวัง (สงวนนามสกุล) จึงได้ทำการสืบต่อไปจนพบว่า นอกจากที่โรงเจของศาลเจ้าพ่อดังกล่าวแล้ว ยังพบสถานที่ที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้ามากอย่างผิดปกติอีกหนึ่งแห่ง คือ บริเวณโกดัง 2 อาคารแห่งหนึ่ง ในพื้นที่เขาแก่นจันทร์ อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งคาดว่าเป็นการทำเหมืองบิทคอยน์ด้วยเช่นกัน จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายค้นทั้ง 2 จุด

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 จึงได้นำกำลังบุกตรวจค้นเป้าหมายพร้อมกันทั้ง 2 จุด โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเข้าทำการตรวจสอบด้วย จากผลการตรวจค้น พบข้อมูลดังนี้

เหมืองขุดเงินดิจิทัลสมุทรสาคร
จุดที่ 1 โรงเจของศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ต.หนองสองห้อง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ตรวจพบเหมืองบิทคอยน์

เป็นอาคารทึบ
อยู่บริเวณโรงจอดรถของศาลเจ้าดังกล่าว มีนายสมบัติ (ขอสงวนนามสกุล) แสดงตัวเป็นผู้ควบคุมดูแล จากการตรวจค้น
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
อุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์สำหรับขุดบิทคอยน์ประกอบกันในลักษณะเป็นเหมืองขุด จำนวน 187 เครื่อง
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า ยังพบว่า มีการดัดแปลงบริเวณมิเตอร์ไฟฟ้าซึ่งทำให้กระแสไฟฟ้าผิดปกติ
เหมืองขุดเงินดิจิทัลราชบุรี
จุดที่ 2 โกดัง บริเวณเขาแก่นจันทร์ อ.เมือง จ.ราชบุรี พบเหมืองบิทคอยน์ ทำเป็นอาคารทึบ มีนายสมหวัง (ขอสงวนนามสกุล) แสดงตัวเป็นผู้ควบคุมดูแลเหมือง และมีนายนายเกียรติก้อง (ขอสงวนนามสกุล) ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมดูแลอาคารและเครื่องขุดดังกล่าว จากการตรวจค้น

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
อุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์สำหรับขุดบิทคอยน์ประกอบกันในลักษณะเป็นเหมืองขุด จำนวน 465 เครื่อง
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า พบว่ามีการดัดแปลงมิเตอร์ไฟฟ้าซึ่งทำให้กระแสไฟฟ้าผิดปกติ

ของกลางตรวจยึดเหมืองขุดเงินดิจิทัล สมุทรสาคร-ราชบุรี
1.เครื่องขุดบิทคอยน์ มูลค่าประมาณ 3.5 แสนบาท จำนวน 652 เครื่อง รวมมูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท
2.มิเตอร์ไฟฟ้าที่ถูกดัดแปลง จำนวน 2 มิเตอร์
นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป

จากการสอบถามเบื้องต้น นายสมบัติฯ และนายสมหวังฯ ให้ข้อมูลว่า ได้เปิดเหมืองมาแล้วประมาณ 2 เดือน ได้ประกอบการขายเครื่องขุดบิทคอยน์ โดยได้นำเข้าเครื่องมาจากประเทศจีนโดยผ่านพิธีศุลกากรถูกต้อง และนำมาจำหน่ายให้แก่บุคคลทั่วไป

หากลูกค้าที่ซื้อเครื่องขุดแล้ว ตนเองจะรับฝากเครื่อง โดยคิดค่ารับฝากรวมค่าไฟฟ้า เป็นเงิน 6,200 บาท เท่านั้น ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ปกติแล้วเครื่องขุดบิทคอย์ดังกล่าว หากเปิดขุดตลอดทั้งเดือน จะเสียค่าไฟฟ้าประมาณ 9,000 บาท ต่อ 1 เครื่อง จึงมีจุดสังเกตว่าในการรับฝากวางนั้น การคิดราคาค่าไฟฟ้าและค่าดูแลเพียง 6,200 บาท นั้นก็เพื่อจูงใจลูกค้า

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า พบว่ามีการดัดแปลงมิเตอร์ไฟฟ้าเพื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านมิเตอร์ไม่เต็มตามที่ใช้จริง และมีบางส่วนเป็นการต่อกระแสไฟฟ้าโดยไม่ผ่านมิเตอร์ เพื่อเป็นการลดต้นทุนสำหรับค่าไฟฟ้า โดยจากการคำนวณค่าไฟฟ้าที่รัฐเสียหายจากทั้ง 2 จุด พบว่ามีมูลค่าประมาณ 5 ล้านบาท

สำหรับ Cryptocurrency หรือ สกุลเงินดิจิทัล นั้น เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งที่มีการเข้ารหัส โดยใช้โค้ดคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าผ่านอินเทอร์เน็ต มีราคากลางในการซื้อขายแปรผันตามกลไกตลาด

ซึ่งในปัจจุบันได้เข้ามามีบทบาทจนเป็นกระแสสังคม และเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนหน้าใหม่ที่ต้องการเก็งกำไรในตลาด และยังเป็นหนึ่งในแผนประทุษกรรมที่มิจฉาชีพมักฉวยโอกาสหาช่องว่างในการหลอกลวงผู้เสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงชักชวนให้เข้ามาร่วมลงทุนในธุรกิจการขุดเหมืองสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) หรือการเช่าหรือซื้อกำลังขุดสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ เช่น

Bitcoin (BTC),
Ethereum (ETH),
Tether (USDT),
Binance Coin (BNB),
Dogecoin (DOGE) เป็นต้น
.
พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 จึงขอเตือนภัยไปยังนักขุดบิดคอยน์ที่เห็นว่าช่วงนี้ราคาคริปโตเคอเรนซี่ในตลาดมีราคาพุ่งสูงขึ้นมาก ในหลายๆ สกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะเหรียญบิทคอยน์นั้น มีราคาแตะ 2.5 ล้านบาท ทำให้เหมาะสำหรับการลงทุนเทรดโดยใช้เครื่องขุด จึงต้องระมัดระวังในการซื้อ และการฝากวางเครื่องกับเหมืองต่างๆ อาจโดนจูงใจโดยการรับฝากในราคาที่น้อยกว่าปกติหรือไม่สมเหตุสมผลกับค่าไฟฟ้าที่แท้จริง สุดท้ายเหมืองอาจจะมีการลักไฟฟ้ามาเพื่อทำการขุดเหรียญ ซึ่งหากถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ตรวจยึด ท่านอาจจะได้รับความเสียหายจากการฝากวางเครื่องได้ หากท่านใดพบการใช้ไฟฟ้าและเหมืองบิทคอยที่ผิดปกติ สามารถแจ้งตำรวจไซเบอร์ หรือโทร 1441 ได้ทันที

泰国网络警察联合电力局等部门人员近日成功破获一起涉及加密货币挖矿业务的诈骗案,取缔龙仔厝府和叻丕府两个挖矿机房,查获652台挖矿机,价值2亿铢。据悉,该团伙偷用国家电力2个月,造成大约500万铢的损失。

警方通过接到的线报进行深度调查,发现犯罪团伙以低于市场价格的方式销售比特币矿机,并通过收取低于实际的电费和维护费来吸引投资者,让他们陷入投资加密货币挖矿业务的骗局,从而造成很大的经济损失。

不过,这些挖矿机在运行过程中存在异常,导致电力消耗量远超正常水平。实际上,诈骗团伙是通过改造电表,让通过电表的电量远低于实际用电量,从而达到非法获利的目的。

在了解到龙仔厝府一素食工厂用电异常,警方循线前往调查,共计发现187台加密货币挖矿机,得知售卖和接收存放挖矿机业务的是一名叫颂汪的男子,因此进一步调查发现,除了素食工厂,在叻丕府直辖县也有两个仓库存在用电异常的情况,于是向法院申请搜查令对这两个仓库进行搜查,共计发现了465台挖矿机,一位名叫颂邦的男子声称是负责人,但他和颂汪一样只是销售加密货币矿机,并没有参与诈骗活动。

两地的电表都有被改造过的痕迹,从而造成电流异常,初步估计受损电力经济损失约500万铢。

颂汪和颂邦供称,他们从事销售比特币矿机业务,这些矿机都是从中国合法进口来的,然后出售给客户,客户购买后他提供场地给客户放置矿机,从中收取包括电费在内的6200铢押金。然而,按照通常情况,一台矿机每个月的电费约为9000铢,但是两人连同电费在一起一个月才收取6200铢,这无疑成为吸引投资者投资的诱惑点,截至目前,两人已经经营了2个月。

警方提醒投资者在购买和存放各种矿机设备时一定要谨慎,要小心那些远低于正常市场价格接受存放的矿场,如果发现异常,应该第一时间通知警方。

2024.4.23, รวบแก๊งหลอกลงทุนคริปโต ยึดทรัพย์ 125 ล้านบาท เตรียมเฉลี่ยคืนผู้เสียหาย

รวบแก๊งหลอกลงทุนคริปโต ยึดทรัพย์ 125 ล้านบาท เตรียมเฉลี่ยคืนผู้เสียหาย

23 เม.ย.2567 – ที่อาคารสัมมนาและฝึกอบรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (เมืองทองธานี) พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1, พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษา ผบก.สอท.4และ พ.ต.อ.ชัยรัตน์ วรุณโณ รอง ผบก.สอท.2 ร่วมกับ นายวิทยา นีติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมายและโฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว ปฏิบัติการ BLACK HAT ล่าล้างขบวนการหลอกลงทุนคริปโตตรวจยึดทรัพย์สินกว่า 125 ล้าน เพื่อเตรียมเฉลี่ยคืนแก่ผู้เสียหาย”

สืบเนื่องจาก เมื่อปลายปี 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ได้รับแจ้งความจากกลุ่มผู้เสียหาย จำนวน 5 ราย ซึ่งพบว่ามีความเชื่อมโยงหลายท้องที่และมีรูปแบบแผนประทุษกรรมในรูปแบบเดียวกัน กล่าวคือ โดนมิจฉาชีพสร้างโปรไฟล์ปลอมแล้วหลอกลวงให้ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Cryptocurrency โดยมิจฉาชีพสร้างแพลตฟอร์มปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกผู้เสียหายว่าได้กำไรจากการลงทุน จากนั้นมิจฉาชีพจะหลอกล่อให้ผู้เสียหายนำเงินมาลงทุนเพิ่ม จนกระทั่งท้ายที่สุดไม่สามารถถอนคืนเงินลงทุนคืนได้ สร้างความเสียหายรวมกันมูลค่ากว่า 530 ล้านบาท โดยจากข้อมูลพบว่ามี 1 ในผู้เสียหายที่เป็นผู้สูงอายุโดนหลอกให้ลงทุนมากถึง 308 ล้านบาท นอกจากนี้ จากการตรวจสอบผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงในลักษณะเดียวกัน เบื้องต้นยังพบว่ามีอีกจำนวน 163 เคสไอดี รวมความเสียหายอีกประมาณ 168 ล้านบาท

ในห้วงเวลาใกล้เคียงกัน บช.สอท. ได้เปิดปฏิบัติการทลาย 2 เว็บพนันออนไลน์ เครือข่าย ufabet-jcและ play.beer777 พบยอดเงินหมุนเวียนกว่า 13,000 ล้านบาทต่อปี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้หลายราย ทั้งกลุ่มผู้รับผลประโยชน์ กลุ่มผู้จัดการเรื่องการเงิน จนไปถึงเจ้าของบัญชี พร้อมตรวจยึดเงินสด 117,835,200 บาท รถยนต์ PORSCHE รุ่น CAYANNE จำนวน 1 คัน มูลค่าประมาณ 8,000,000 บาท และของกลางอื่นๆ อีกหลายรายการ รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 150 ล้านบาท โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.ได้สั่งการให้เจ้าหน้าในสังกัดที่ทำการสืบสวนจับกุมและขยายผลจากกรณีดังกล่าวเรื่อยมา

ต่อมา จากการสืบสวนขยายผลและวิเคราะห์เส้นทางการเงิน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบสิ่งที่น่าสนใจ กล่าวคือเส้นทางการเงินของคดีหลอกลงทุนคริปโตดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับเส้นทางการเงินในคดีเว็บพนันออนไลน์ที่เคยเปิดปฏิบัติการจับกุมข้างต้น โดยพบว่าเงินที่ถูกหลอกลวงจากการการลงทุนคริปโตได้ถูกนำมาผ่านกระบวนการฟอกเงิน โดยมีกลุ่มคนร้ายแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน

โดยในคดีนี้ ชุดสืบสวนสอบสวนมีข้อมูลพยานหลักฐานว่า นายกัญจน์นิพิฐ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาในคดีเว็บพนันออนไลน์ดังกล่าวข้างต้น ยังมีหน้าที่เป็นผู้จัดการทางการเงินให้แก่กลุ่มอาชญากรข้ามชาติต่างๆ ที่มีความเชื่อมโยงจากการฟอกเงินที่ได้จากการกระทำความผิดในหลายคดี จึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อได้ว่า ทรัพย์สินที่ตรวจยึดในคดีนี้ได้มาจากการหลอกลงทุนทรัพย์สินดิจิทัล โดยผ่านกระบวนการฟอกเงินที่สลับซับซ้อนด้วยวิธีการใช้โพยก๊วนสมัยใหม่ (คริปโทเคอเรนซี) เพื่อแปลงสภาพทรัพย์สินที่ ได้มาจากการกระทำความผิด

ต่อมา พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งรัดขยายผลกรณีดังกล่าว จนนำมาสู่ปฏิบัติการ BLACK HAT ล่าล้างขบวนการหลอกลงทุนคริปโต โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ได้รายงานข้อมูลความเชื่อมโยงคดีระหว่างการหลอกลงทุนเงินดิจิทัล กับคดีการพนันออนไลน์ดังกล่าวไปยังสำนักงาน ปปง.และต่อมาสำนักงาน ปปง. ได้มีคำสั่งที่ ย.93/2567 ลงวันที่ 22 เม.ย.67 เพื่อยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราวที่ เจ้าหน้าที่จึงยึดเงินสดกว่า 117 ล้านบาท พร้อมทั้งรถยนต์ Porscheจำนวน 1 คัน มูลค่า 8 ล้านบาท รวมทรัพย์สินทั้งสิ้น มูลค่ากว่า 125 ล้านบาท เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบและนำมาเฉลี่ยทรัพย์คืนให้แก่ผู้เสียหายต่อไป

นอกจากนี้ ยังสามารถรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับผู้ต้องหาเป็นเครือข่ายได้จำนวนมาก และได้ระดมกำลังตำรวจไซเบอร์ทั่วประเทศติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ จนสามารถจับกุมได้จำนวน 23 ราย ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนและสมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน” นำส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย

2024.4.21, 中国女学生被绑架勒索赎金案。昨天才发现这可能是一起发生在国外的虚拟绑架案。
22岁的中国女学生,有消息称她被国际呼叫中心集团扣留勒索赎金。与家长协调接回。警方透露,他们发现了许多可疑的东西。有合理的理由相信这不是绑架。
พบแล้ว! นักศึกษาหญิงชาวจีน อายุ 22 ปี หลังปรากฏข่าวถูกขบวนการคอลเซ็นเตอร์เรียกค่าไถ่ข้ามชาติ ประสานผู้ปกครองรับตัวกลับ ตำรวจเผยพบพิรุธหลายอย่าง มีเหตุน่าเชื่อว่าไม่ใช่การลักพาตัว

พบตัวแล้ว นศ.สาวจีน อ้างถูกอุ้มเรียกค่าไถ่ ส่อโอละพ่อ-ไม่ใช่ลักพาตัว

พบแล้ว นักศึกษาหญิงชาวจีน อายุ 22 ปี หลังปรากฏข่าวถูกขบวนการคอลเซ็นเตอร์เรียกค่าไถ่ข้ามชาติ ตร.พาสอบปากคำ สน.บางรัก พร้อมประสานผู้ปกครองมารับตัว จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า นักศึกษารายนี้ยังไม่ให้การในบางประเด็น และมีเหตุน่าเชื่อว่าไม่ใช่การลักพาตัว

จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าวว่า มีนักศึกษาชาวจีน อายุ 22 ปี ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข่มขู่และเรียกค่าไถ่จากครอบครัว พร้อมบังคับให้นักศึกษาเดินทางจากประเทศออสเตรเลียเข้ามาในประเทศไทย ก่อนจะปรากฏข้อมูลว่า นักศึกษาคนนี้เดินทางต่อไปยัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ล่าสุด ชุดสืบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 พบตัวนักศึกษารายนี้แล้ว หลังเดินทางกลับจาก อ.ศรีราชา กลับเข้ามาพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านบางรัก กทม. เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปรับตัวมาสอบปากคำที่ สน.บางรัก

เบื้องต้น ชุดสืบสวนได้ประสานผู้ปกครองของนักศึกษารายนี้ เข้ามาพูดคุยซักถามข้อเท็จจริงว่า ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข่มขู่หลอกลวงจริงหรือไม่ แต่มีรายงานเบื้องต้นว่า นักศึกษารายนี้ยังไม่ให้การในบางประเด็น และมีเหตุน่าเชื่อว่าไม่ใช่การลักพาตัว ส่วนเสียงชายที่พูดข่มขู่ทางโทรศัพท์ ทำทีว่านักศึกษาสาวทำผิดกฎหมาย และอ้างว่าจะส่งคนมาติดตาม ให้ทำตามที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์สั่งนั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่า แฟรนไชส์ที่นักศึกษาสาวคนนี้รู้จักผ่านทางแอปพลิเคชันสนทนาชื่อดัง จึงไม่แน่ชัดว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ เพราะจากภาพกล้องวงจรปิดและพยานหลักฐานทั้งหมด พบว่าตลอดระยะเวลาที่นักศึกษารายนี้เดินทางมาถึงประเทศไทย และไปยังพื้นที่ต่างๆ นั้น เป็นการเดินทางเพียงลำพัง

เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สน.บางรัก จึงลงบันทึกประจำวันไว้ว่าพบตัวนักศึกษาแล้ว จากนั้นจะให้ผู้ปกครองมารับตัวกลับไป

สำหรับไทม์ไลน์ของนักศึกษารายนี้

13 เม.ย 67 เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ลงเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ

14 เม.ย. 67 แท็กซี่มาส่งที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ 1 คืนหลังจากนั้นเช็กเอาต์ออกจากโรงแรม และไม่ปรากฏข้อมูลว่าเดินทางไปที่ไหน

17 เม.ย. 67 เวลาประมาณ 10.00 น. โทรหาแม่เพื่อขอเงิน โดยระหว่างนั้นมีเสียงผู้ชายเข้ามาในสาย มีลักษณะข่มขู่ จากนั้นขึ้นรถแท็กซี่จากย่านลาดกระบัง กทม. ไปที่เอกมัย เพื่อขึ้นรถต่อไปยัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ในช่วงเวลาประมาณ 12.40 น.

18 เม.ย. 67 เดินทางออกจากที่พักใน อ.ศรีราชา โดยมีการแวะซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือ คาดว่าน่าจะถูกหลอกหรือถูกข่มขู่

19 เม.ย. 67 ขึ้นรถทัวร์จากแหลมฉบังเดินทางมาลงที่เอกมัย ช่วงเวลาประมาณ 14.46 น. และผ่านหน้าห้างสรรพสินค้าเกตเวย์เอกมัย ช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. แล้วขึ้นรถแท็กซี่สีเขียวเหลืองมาส่งที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านบางรัก กทม. จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเข้าไปรับตัว

เตือนภัย คดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่เสมือนจริง

เช้าข่าว 7 สี – กรณีนักศึกษาสาวชาวจีนที่มีข่าวว่า ถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ และเพิ่งพบตัววานนี้ อาจเป็นคดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่เสมือนจริงในต่างประเทศที่เริ่มพบเห็นบ่อยมากในช่วงระยะหลัง ๆ

กรณีแม่ของนักศึกษาสาวชาวจีนอายุ 22 ปี เข้าแจ้งความ ขอให้ช่วยประสานงานตามหาตัวลูกสาว ที่เรียนอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้โทรศัพท์มาบอกว่า ถูกแก๊งคอลเซนเตอร์ข่มขู่และเรียกค่าไถ่ ให้ครอบครัวโอนเงินให้ โดยมีเสียงผู้ชายพูดแทรกเข้ามาข่มขู่ในสายด้วยว่า ลูกสาวตนทำผิดกฎหมายนั้น สุดท้ายเรื่องกลับจบลงแบบคดีพลิก เนื่องจากจากหลักฐานทุกอย่างที่พบ บ่งชี้ว่า ไม่ใช่คดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่จริง แต่น่าจะเป็นคดี Virtual Kidnapping เหมือนที่เกิดขึ้นบ่อยในต่างประเทศ

คดี Virtual Kidnapping หรือ การลักพาตัวเรียกค่าไถ่เสมือนจริง มักเกิดกับเหยื่อที่เป็นนักศึกษาชาวจีน ที่เรียนอยู่ในต่างประเทศ เนื่องจากครอบครัวเหยื่อมักมีฐานะดี ที่พบบ่อยมากคือที่ประเทศออสเตรเลีย ที่มีนักศึกษาจีนไปเรียนอยู่มาก เช่นเดียวกับ สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ก็เคยเกิดเหตุลักษณะนี้มาแล้ว

พฤติการณ์ของคนร้าย จะอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ข่มขู่หลอกเหยื่อที่ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาว่าทำผิดกฎหมาย เพื่อให้เหยื่อไปบอกต่อกับผู้ปกครองให้ยอมจ่ายเงิน เพื่อไม่ให้มีการดำเนินคดี หรือ ส่งตัวกลับบ้าน และที่พบบ่อยมากคือการบีบบังคับข่มขู่ให้เหยื่อหลอกผู้ปกครองว่าตนเองถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ เพื่อให้รีบจ่ายเงินไถ่ตัวให้กับคนร้าย

บ้านเราเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ก็มีเหตุแก๊งคนร้ายอุ้มนักศึกษาปริญญาโทชาวจีน หน้าร้านอาหารดัง ย่านเอกมัย ครั้งนั้นเป็นการลักพาตัวเรียกค่าไถ่จริง ๆ ซึ่งตำรวจไทยสามารถจับกุมคนร้ายได้ ส่วนคดี Virtual Kidnapping เคยมีนักศึกษาชาวไทยตกเป็นเหยื่อมาแล้ว เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว แต่ตัวการเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์จากกัมพูชา

ด้านตำรวจมั่นใจว่า กรณีนักศึกษาสาวชาวจีน จากออสเตรเลีย ไม่ใช่คดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่จริง ๆ แน่ เพราะหลังจากทราบว่าเธอเดินทางมาไทย และออกจากอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มาพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่าน

กรณีนักศึกษาชาวจีนอาจเป็นคดี Virtual Kidnapping

เจาะประเด็นข่าว 7HD – กรณีนักศึกษาสาวชาวจีนที่มีข่าวว่าถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ และเพิ่งพบตัววานนี้ อาจเป็นคดีลักพาตัวเสมือนจริงที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศ

สุดท้ายกลายเป็นคดีพลิก กรณีแม่ของนักศึกษาสาวชาวจีนอายุ 22 ปี เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.ศรีราชา จังหวัดชลบุรี ขอให้ช่วยประสานงานตามหาตัวลูกสาว ที่เรียนอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้โทรศัพท์มาบอกว่า ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข่มขู่และเรียกค่าไถ่ ให้ครอบครัวโอนเงินให้ โดยมีเสียงผู้ชายพูดแทรกเข้ามาข่มขู่ในสายด้วยว่า ลูกสาวของทำผิดกฎหมายนั้น

จากข้อมูลการสอบสวนที่พบว่า นักศึกษาสาวได้เดินทางออกจากออสเตรเลียเข้ามาประเทศไทย และได้เดินทางต่อไปยังอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีแล้วนั้น เมื่อคืนที่ผ่านมาชุดสืบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดจนพบว่า นักศึกษาสาวคนนี้ออกจากพื้นที่อำเภอศรีราชา เข้ามาพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านบางรัก จึงไปรับตัวมาสอบปากคำที่ สน.บางรัก ก่อนประสานผู้ปกครองให้เดินทางมาพบกับลูกสาว

จากหลักฐานกล้องวงจรปิดที่พบว่านักศึกษาสาวเดินทางและเข้าพักยังที่พักต่าง ๆ ตามลำพัง จึงไม่ใช่การลักพาตัว ส่วนเสียงชายที่พูดข่มขู่ทางโทรศัพท์เป็นคนที่นักศึกษาสาวรู้จักผ่านแอปพลิเคชันวิดีโอคอลชื่อดัง ประกอบกับนักศึกษาสาวยังไม่ให้การในบางประเด็น จึงยังไม่แน่ชัดว่าเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์หรือไม่ เนื่องจากผู้ปกครองของนักศึกษาสาวไม่ประสงค์ดำเนินคดี พนักงานสอบสวนสน.บางรัก จึงทำได้เพียงลงบันทึกประจำวันไว้

ด้วยผู้ปกครองไม่ประสงค์จะเอาความ จึงเป็นไปได้ว่าคดีนี้อาจเป็นคดี Virtual Kidnapping หรือการลักพาตัวเรียกค่าไถ่เสมือนจริง ซึ่งมักเกิดกับเหยื่อที่เป็นนักศึกษาชาวจีน ที่เรียนอยู่ในต่างประเทศ เนื่องจากครอบครัวเหยื่อมักมีฐานะดี ที่พบบ่อยมากคือที่ประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีนักศึกษาจีนไปเรียนอยู่มาก

中国女留学生泰国遭电信诈骗团伙绑架?警方介入调查

近日,一名在澳洲留学的22岁中国女留学生的母亲向泰国春武里府是拉差警察局报案,称接到女儿电话称受到电信诈骗团伙的绑架威胁,并被索要赎金。同时,恐吓电话中一名男子声称女儿违法,会派人跟踪。经过警方深入调查,发现了一系列可疑线索,并初步判断这可能并非一起真正的绑架案件。

4月20日晚,曼谷京畿警察署专案组成功找到了该名女学生。她已从春武里府是拉差县返回,并入住曼谷挽叻区的一家酒店。警方随后前往挽叻警察局对其进行询问。

在初步调查中,专案组与该学生进行了沟通,以确认她是否确实受到了电信诈骗团伙的恐吓和绑架。然而,该学生尚未就某些疑点提供证言,警方目前有理由相信这并非一起真正的绑架案件。

警方进一步调查发现,电话中威胁女学生的男子是她通过一个聊天软件认识的,目前尚不清楚该男子是否属于电信诈骗团伙。监控录像显示,女学生在抵达泰国期间前往了多个地点,均为单独行动。

女学生的时间线显示,她于2024年4月13日从素万那普机场入境泰国。之后,她入住了一家酒店,随后于4月17日给母亲打电话要求汇款,同时电话中传出威胁声音。女学生随后前往亿甲迈乘坐车辆前往春武里府是拉差,于19日从林查班返回曼谷,最终在挽叻区的一家酒店被警方找到。目前,挽叻警察局的调查人员已经联系女学生的父母前来接她回国。

2024.4.18, ตำรวจไซเบอร์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรข้ามชาติ จับผู้ต้องหาต่างชาติ ตั้งแก๊งหลอกผู้เสียหายให้ลงทุนผ่านแพลตฟอร์มสกุลเงินคริปโตเคอเรนซี อ้างได้กำไรสูง จนท.สามารถยึดอายัดทรัพย์สินที่เชื่อว่าได้มาจากการกระทำผิดกว่า 250 ล้านบาท

ด้านสังคม
ดีอี – ตำรวจไซเบอร์ จับกุมอาชญากรข้ามโลก ตัวการแก๊ง Hybrid Scam ยึดทรัพย์สินกว่า 250 ล้าน เตรียมเฉลี่ยคืนแก่ผู้เสียหาย

วันนี้ (17 เมษายน 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วย นายสุทธิเกียรติ วีระกิจพานิช ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษาผบก.สอท.4, นายวิทยา เนติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมาย หัวหน้าโฆษกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และ คุณ Akbar A. Head of Investigation – APAC (Binance) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ปฏิบัติการ “The Purge” ปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรข้ามโลก จับต่างชาติตัวการแก๊ง Hybrid Scam ตรวจยึดทรัพย์สินกว่า 250 ล้าน เตรียมเฉลี่ยคืนแก่ผู้เสียหาย

สืบเนื่องจากปฏิบัติการ “Trust No One” EP.1-5 กรณีผู้เสียหายถูกหลอกลงทุนในลักษณะ
Hybrid Scam ซึ่งคนร้ายใช้วิธีการชักชวนผู้เสียหายให้ลงทุนสกุลเงินดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มปลอม จากนั้นให้ผู้เสียหายซื้อเงินสกุล USDT และโอนไปตามเลขกระเป๋าเงินดิจิทัลตามที่คนร้ายระบุ ก่อนที่จะถูกโอนเข้าบัญชีของแพลตฟอร์มเทรดเงินดิจิทัล เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์สืบสวนจนได้ข้อมูลที่เชื่อมโยงไปสู่คนร้ายตัวจริงที่ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลดังกล่าว คือ นายซู (Mr.Shaoxian Su) ชาวสัญชาติจีนกับพวก และยังพบเส้นทางการเงินเชื่อมโยงนอมินีที่จดทะเบียนเพื่ออำพรางการทำธุรกรรม สามารถจับกุมผู้ต้องหาสัญชาติจีน 3 ราย โดยยึดทรัพย์สินไว้ 15 รายการ ราคาประมาณ 600 ล้านบาท และได้ลงประกาศให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์คืน

ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เร่งสืบสวนขยายผล พบว่า คนร้ายใช้วิธีสุ่มติดต่อหาประชาชนผ่านแพลตฟอร์มสื่อโซเชียลต่างๆ แล้วชักชวนให้เกิดความเชื่อว่าคนร้ายสอนการลงทุนเทรดคริปโตเคอเรนซีเพื่อได้ผลกำไรจริง โดยผู้เสียหายถูกชักชวนให้โอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของบุคคลต่างๆ (บัญชีม้า) ที่คนร้ายอ้างว่า เป็นบัญชีตัวแทนรับแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดิจิทัล เพื่อโอนเข้าแอปเทรดเหรียญดิจิทัล (แอปปลอม) โดยหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการเป็นกลุ่มชาวจีน และ ชาวจีนสิงคโปร์ จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องเอาไว้แล้ว จำนวน 26 คนและขอหมายค้นเพื่อเข้าตรวจค้นเป้าหมายสำคัญ จำนวน 4 จุด สามารถจับผู้ต้องหารายสำคัญได้ จำนวน 4 ราย คือ นายวศิษฎ์ อายุ 31 ปี, น.ส.สิรภัทร อายุ 25 ปี, นายตงเจี้ยน สัญชาติ จีน อายุ 45 ปี
และนายเว่ย คิง เคก สัญชาติ สิงคโปร์ อายุ 41 ปี โดยได้ทำการอายัดบัญชีเงินฝาก รวมถึงตรวจยึด อายัดทรัพย์สินและบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ต้องหาและบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องในคดีรวมมูลค่าประมาณ 252.5 ล้านบาท พร้อมส่งดำเนินการตามกฎหมายในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนอันเป็นปกติธุระโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ,ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ร่วมกันเป็นซ่องโจร,ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ,ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติฯ และร่วมกันฟอกเงินและสมคบฟอกเงิน” นอกจากนี้ยังพบว่าเครือข่ายดังกล่าว มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเว็บพนันออนไลน์ ซึ่งมีเงินหมุนเวียนสูงถึง 30,000 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยได้ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคงระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติบริเวณชายแดน ในการดำเนินการขยายผลจับกุมทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนันออนไลน์ ซิมผี และบัญชีม้า เพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน ในการตรวจสอบ ระงับ ยับยั้ง นายประเสริฐฯ กล่าว

หากประชาชนมีข้อสงสัย สามารถโทรปรึกษาสายด่วน AOC 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

CIB กวาดล้างแก๊งหลอกลงทุนคริปโต เสียหายกว่า 250 ล้านบาท

ตำรวจไซเบอร์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรข้ามชาติ จับผู้ต้องหาต่างชาติ ตั้งแก๊งหลอกผู้เสียหายให้ลงทุนผ่านแพลตฟอร์มสกุลเงินคริปโตเคอเรนซี อ้างได้กำไรสูง จนท.สามารถยึดอายัดทรัพย์สินที่เชื่อว่าได้มาจากการกระทำผิดกว่า 250 ล้านบาท

วันนี้ (17 เม.ย.2567) เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจยึดอายัดเงินสดจำนวน 80 ล้านบาท เป็นของกลางบางส่วน ได้จากผู้ต้องหาเครือข่าย อาชญากรข้ามชาติ ที่มีพฤติกรรมชักชวนผู้เสียหาย ให้ลงทุนสกุลเงินดิจิทัล ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์

โดยมีผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวได้ทั้ง ชาวจีน สิงคโปร์ รวมทั้งคนไทย รวม 4 คน ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ชลบุรี กรุงเทพมหานคร และตาก โดย 2 คนไทย จะทำหน้าที่ฟอกเงิน ฝากทรัพย์สินดิจิทัล และเป็นเจ้าของบัญชี

ส่วนคนจีนคือผู้รับผลประโยชน์ และชาวสิงคโปร์ ทำหน้าที่ว่าจ้างเปิดบัญชีนิติบุคคล และบริหารจัดการทรัพย์สิน จากการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 26 คน โดยเจ้าหน้าเข้าทำการตรวจค้น 72 จุด ทั่วประเทศ

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. เปิดเผยถึง จุดเริ่มต้นของคดี ว่าพบเส้นทางการเงินของผู้ต้องหาที่เป็นตัวการสำคัญ มีผลประกอบการไม่สอดคล้องกับการประกอบอาชีพที่ผิดปกติ จึงทำการสืบสวนและขยายผล

สำหรับกลุ่มผู้ต้องหา ก่อเหตุโดยใช้วิธีการสุ่มติดต่อหาประชาชน ผ่านสื่อโซเชียลทุกแพลตฟอร์ม ก่อนจะชักชวนพูดคุยให้เกิดความน่าเชื่อถือ สอนการลงทุน เทรดคริปโตเคอเรนซี อ้างว่าจะได้ผลกำไรสูง โดยใช้บัญชีม้าเป็นช่องทางโอนเงินเข้าไปยังกลุ่มเครือข่ายผู้ต้องหา

เมื่อสามารถหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินมาได้ ก็จะนำเงินไปเปลี่ยนเป็นทรัพย์สิน เช่น บ้าน รถหรู และเปิดบริษัท ทำธุรกิจบังหน้า กระจายไปหลายช่องทาง

นอกจากนี้กลุ่มผู้ต้องหา ยังได้นำเงินไปฟอกเงิน ที่อยู่ในรูปแบบขบวนการ พนันออนไลน์ แก๊งคอลเซนเตอร์ และไปยังกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดอีกด้วย พบเงินหมุนเวียนของเครือข่ายนี้กว่า 30,000 ล้านบาท

แนวทางการสืบสวน พบเส้นทางการทำธุรกรรมจากนายซู ผู้ต้องหาชาวสัญชาติจีน และนำไปสู่ขยายผล อายัดบัญชีเงินฝาก 40 ล้านบาท อายัดบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัล ประมาณ 150 ล้านบาท รวมมูลค่า 252 ล้านบาท

ส่วนทรัพย์สินจะนำไปเยียวยาให้กับผู้เสียหาย ที่เคยร้องเรียนขอเรียกทรัพย์คืนไปก่อนหน้านี้ เจ้าของทรัพย์ต้องมาชี้แจง กับเจ้าหน้าที่ ปปง. เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกอายัดหรือไม่ หากใช่ศาลจะเป็นผู้พิจารณาสั่งคืนทรัพย์สินให้ ตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

เบื้องต้นผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันมีส่วนร่วมอาชญากรข้ามชาติ และร่วมกันฟอกเงิน โดยผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา

นายวิทยา นิติธรรม โฆษกสำนักงาน ปปง. เปิดเผยถึง การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องหารือ โดยเฉพาะมาตรการป้องกันการเปิดบัญชีม้า อาจจะต้องเพิ่มกลไกในการตรวจสอบ และเปิดบัญชีให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น

ตำรวจไซเบอร์อายัดทรัพย์ 250 ล้านบาท อาชญากรข้ามโลก แก๊งไฮบริดสแกม หลอก-เงินดิจิทัล

ตำรวจไซเบอร์สนธิกำลังเปิดปฏิบัติการ “The Purge” กวาดล้างอาชญากรข้ามโลก รวบตัวการแก๊งไฮบริด สแกม (Hybrid Scam) ตุ๋นเงินดิจิทัล ตรวจยึดทรัพย์สินกว่า 250 ล้านบาท ขณะที่โฆษก ปปง.แจงผู้เสียหายเข้าแจ้งทรัพย์สินที่ถูกหลอกภายใน 90 วัน หากเกินจำนวนจะเฉลี่ยตามสัดส่วนของความเสียหาย

ตำรวจทลายแก๊งไฮบริดสแกม ยึดทรัพย์กว่า 250 ล้านบาท เปิดเผยเมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 17 เม.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษา ผบก.สอท.4 นายสุริยน ประภาสะวัต อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 สำนักงานอัยการสูงสุด นายวิทยา เนติธรรม ผอ.กองกฎหมาย หัวหน้าโฆษกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมแถลงผลปฏิบัติการ “The Purge”กวาดล้างอาชญากรข้ามโลก จับกุมชาวต่างชาติตัวการแก๊งไฮบริด สแกม (Hybrid Scam) ตรวจยึดทรัพย์สินกว่า 250 ล้าน เพื่อเตรียมเฉลี่ยคืนแก่ผู้เสียหาย

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. กล่าวว่า คดีนี้สืบเนื่องคดีที่การกระทำความผิดเชื่อมโยงกันของคดีอาญาในพื้นที่ สน.ศาลาแดง ที่ 452/2565 คดีอาญา สน.ดินแดง ที่ 462/2564 และคดีอาญาของ สภ.หนองขาม จ.ชลบุรี ที่ 727/2564 กรณีมีผู้เสียหายถูกหลอกลงทุนในลักษณะ Hybrid Scam คนร้ายใช้วิธีการชักชวนผู้เสียหายให้ลงทุนสกุลเงินดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มปลอม จากนั้นให้ผู้เสียหายซื้อเงินสกุล USDT และโอนไปตามเลขกระเป๋าเงินดิจิทัลตามที่คนร้ายระบุ ก่อนที่จะถูกโอนเข้าบัญชีของแพลตฟอร์มเทรดเงินดิจิทัล ต่อมาตำรวจไซเบอร์สืบสวนรู้ข้อมูลที่เชื่อมโยงไปสู่คนร้ายตัวจริงที่ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลชื่อนายซูเซียน ชาวจีนกับพวก และยังพบเส้นทาง การเงินเชื่อมโยงนอมินีรูปแบบนิติบุคคลสัญชาติไทย เชื่อว่าจดทะเบียนเพื่ออำพรางการทำธุรกรรม การเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินต่างๆ จนนำมาสู่ปฏิบัติการ “Trust No One” EP.1-5 ตรวจค้นกว่า 72 จุดทั่วประเทศ

พล.ต.ท.วรวัฒน์กล่าวอีกว่า ตำรวจขยายผลอย่างต่อเนื่อง ในส่วนคดีอาญา สน.ดินแดง ที่ 462/2564 พบว่าคนร้ายใช้วิธีการก่อเหตุโดยอาศัยวิธีการสุ่มติดต่อหาประชาชนผ่านแพลตฟอร์มสื่อโซเชียลมีเดียชักชวนคุยให้เกิดความเชื่อว่าคนร้ายสอนการลงทุนเทรดคริปโตเคอเรนซีเพื่อได้ผลกำไรจริง ผู้เสียหายในเคสนี้ถูกชักชวนให้โอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของบุคคลต่างๆ (บัญชีม้า) ที่คนร้ายอ้างว่าเป็นบัญชีตัวแทนรับแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินสกุลดิจิทัล เพื่อโอนเข้าแอปเทรดเหรียญดิจิทัล (แอปปลอม) พบว่าปลายทางของเงินนั้นถูกนำไปผ่านกระบวนการฟอกเงินด้วยระบบการเงินใต้ดิน 1 ในผู้ร่วมขบวนการเป็นกลุ่มชาวจีน และชาวจีนสิงคโปร์เป็นผู้จ้างวานเพื่อจดทะเบียนบริษัทนอมินี และนำข้อมูลบริษัทไปเปิดบัญชีธนาคาร เพื่อนำมาใช้รับเงินจากการกระทำความผิด แล้วนำเงินส่วนใหญ่ที่ได้มาเปลี่ยนสภาพไปเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล แล้วโอนต่อไปหลายลำดับเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบและสร้างความยุ่งยากในการสืบสวนของเจ้าหน้าที่

เจ้าหน้าที่พบหลักฐานทางการเงินที่ไม่สัมพันธ์กับฐานะของเจ้าของบัญชี และมีพยานหลักฐานที่บ่งชี้ถึงการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรม มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวง การพนันออนไลน์ หรือยาเสพติดก็ตาม รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติต่อศาลออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเอาไว้แล้วจำนวน 26 คน และขอหมายค้นเพื่อเข้าตรวจค้นเป้าหมายสำคัญจำนวน 4 จุด นำมาสู่ปฏิบัติการ The Purge ปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรข้ามโลก จับผู้ต้องหารายสำคัญ 4 คน ชื่อนายตงเจี้ยน สัญชาติจีน อายุ 45 ปี ผู้รับผลประโยชน์ จับกุมที่บ้านพักในพื้นที่ หมู่ 6 ต.สันผีเสื้อ อ.เมืองเชียงใหม่

นายเว่ย คิง เคก สัญชาติสิงคโปร์ อายุ 41 ปี ผู้ทำหน้าที่จ้างวานเปิดบัญชีนิติบุคคล บริหารจัดการทรัพย์สิน จับกุมที่ลานจอดรถแห่งหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี นายวศิษฎ์ ชลอำนวย อายุ 31 ปี ผู้ทำหน้าที่ฟอกเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล จับกุมบริเวณศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กทม. และ น.ส.สิรภัทร ทรวง ทองหลาง อายุ 25 ปี เป็นเจ้าของบัญชี จับกุมที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองแม่สอด จ.ตาก แจ้งข้อหาในความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนอันเป็นปกติธุระโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันเป็นซ่องโจร ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและร่วมกันฟอกเงินและสมคบฟอกเงิน

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่อายัดบัญชีเงินฝาก รวมถึงตรวจยึดและอายัดทรัพย์สินและบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ต้องหาและบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องในคดี ดังนี้อายัดบัญชีเงินฝากยอดเงินจำนวนประมาณ 40 ล้านบาท อายัดบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าประมาณ 150 ล้านบาท อายัดเงินสดจำนวน 80 ล้านบาท ยึดรถยนต์หรูราคา 2.5 ล้านบาท รวมมูลค่าประมาณ 252.5 ล้านบาท ต่อมาสำนักงาน ปปง. มีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราวที่ ย.92/2567 ลงวันที่ 17 เม.ย.67 อีกทั้งยึดเงินสดจำนวน 80 ล้านบาท จากนายสุรัตน์ นามบุญ อายุ 42 ปี และนายกันต์นภนต์ คำแดง อายุ 40 ปี ชาว อ.แม่สอด จ.ตาก ที่รับจ้างขนเงินเตรียมลำเลียงข้ามไปฝั่งเมียนมาด้าน อ.แม่สอด หากพบว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด จะถูกนำมาเฉลี่ยทรัพย์คืนให้กับผู้เสียหายที่ถูกหลอกต่อไป

“เครือข่ายดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเว็บพนันออนไลน์ มีเงินหมุนเวียนสูงถึง 30,000 ล้านบาทต่อปี ตำรวจจะสืบสวนขยายผลต่อไป การปฏิบัติการในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงลงมาจากความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนภายในและต่างประเทศ สามารถจับกุมผู้ต้องหาและตรวจยึดอายัดทรัพย์สินจำนวนมาก เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบและนำมาเฉลี่ยทรัพย์คืนให้แก่ผู้เสียหาย นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากภาคธนาคารไทยเป็นอย่างดีในการให้ข้อมูลต่างๆ รวมถึงการได้รับความร่วมมืออันดีระหว่างหน่วยงานต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Homeland Security Investigation (HSI) ตลอดจนความร่วมมือจากแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล BINANCE” พล.ต.ท.วรวัฒน์กล่าว

นายวิทยา เนติธรรม ผอ.กองกฎหมาย กล่าวว่า ขั้นตอนการเฉลี่ยทรัพย์คืนจะให้โอกาสเจ้าของทรัพย์เข้ามาชี้แจงที่มาของทรัพย์ภายใน 90 วัน หากชี้แจงที่มาของเงินได้ จะต้องคืนเจ้าของทรัพย์ แต่หากทรัพย์มาจากการกระทำความผิดจะนำไปคืนให้กับผู้เสียหายที่ถูกหลอกจากขบวนการนี้ ผู้เสียหายที่ประสงค์ขอทรัพย์คืนจะต้องทำหนังสือพร้อมหลักฐานมายังสำนักงาน ปปง. จะมีการพิจารณาตรวจสอบอีก 90 วัน ก่อนจะยื่นเรื่องไปยังศาลแพ่งเพื่อตัดสินพิจารณารายชื่อ หากทรัพย์ได้มากกว่าจำนวนผู้เสียหายสามารถคืนได้ทั้งหมด แต่หากยึดมาได้น้อยกว่าจะเฉลี่ยคืนตามสัดส่วนของความเสียหาย

泰警破诈骗集团 扣押3257万资产 捕4重犯

(曼谷18日综合电)泰国国家警察总署等相关部门官员周三举行新闻发布会,公布了代号为“The Purge消灭世界各地犯罪分子”行动的结果。行动期间,泰国警方逮捕了包括中国籍在内的犯罪集团成员,冻结了涉案人员的银行账户,扣押了涉案资产和数码资产账户,总价值约2.5亿泰铢(约3257万令吉)。

该案件涉及多个关联案件,包括Saladaeng警察局刑事案件第452/2022号、Din Daeng警察局刑事案件第462/2021号,以及春武里府Nong Kham警察局刑事案件第727/2021号。在这些案件中,犯罪集团通过混合诈骗的方式,欺骗受害者投资数码货币。他们利用虚假平台诱导受害者购买泰达币,然后将其转账至犯罪分子的数码钱包中。犯罪分子随后将受害者的资金转移至加密货币交易平台账户。

泰国警方通过调查确定了使用涉案数码钱包的嫌疑人,包括中国籍苏某等人的信息。此外,警方还发现与泰国代持法人相关的财务线索。

在行动代号为“不相信任何人Trust No One”的第1-5次行动中,泰国警方在全国范围内搜查了超过72个地点。这次行动共逮捕了3名中国国籍嫌疑人,并没收了价值超过19亿泰铢(约2亿4762万令吉)的资产,包括房地产、豪华别墅、公寓、汽车、名牌产品、现金和其他物品。行动后,泰国警方将调查结果和相关意见提交给最高检察院总检察长。

总检察长同意对所有被告提出指控,随后,泰国反腐委员会办公室发布命令,扣押和冻结犯罪分子相关资产。委员会扣押了15项财产,价值约6亿泰铢(约7819万令吉),并发布公告,通知受害者提交请求,以归还在该案件中被没收的资产。

泰国警方和相关机构继续扩大调查范围。在Din Daeng警察局刑事案件第462/2021号中发现,犯罪分子通过各种社交媒体平台随机联系他人实施犯罪。他们通过游说的方式让受害者相信,自己正在教授如何投资和交易加密货币以赚取利润。

受害者被说服将资金转入不同人的银行账户,犯罪分子声称这些账户是用于将泰铢兑换成数码货币的代理账户。然而,调查发现,这些资金通过地下金融系统进行洗钱。调查还发现参与者为中国籍和新加坡华人,他们受雇代持人注册公司并使用公司信息开设银行账户,接收非法资金,然后将大部分资金转化为数码资产。

警方发现涉事公司的财务证据显示,这些资金与账户所有者的身分不符,并有证据表明这些人参与了有组织的犯罪。此外,这些人还涉嫌通过各种形式的犯罪活动,包括诈骗、网络赌博和贩毒,来获取资金并进行洗钱。

随后,泰国警方加快调查以逮捕犯罪集团,并扣押其财产。经过收集证据,警方请求法院批准对26名涉案人员发出逮捕令,并请求搜查令搜查4个重要目标,展开了一场“The Purge消灭世界各地的犯罪分子”行动。在行动中,4名重要嫌疑人被捕:

1.董某,中国国籍,45岁,是受益人之一。在清迈府直辖县San Phsuea分区6号村一处房屋内被捕。

2.Wei King Kek,新加坡籍,41岁,负责开设公司账户和管理资产。在春武里府挽腊茫县的一个停车场被捕。

3.Wasit(保留姓氏),31岁,涉足数码资产洗钱。在曼谷的Chaengwattana政府中心地区被捕。

4.Siraphat(保留姓氏),25岁,账户所有者。在达府湄索移民检查站被捕。

这些嫌疑人被指控联合冒充他人诈骗公众、从事非法经营、从事黑社会活动、使用欺诈手段篡改计算机数据或提供虚假信息对公众造成损害以及洗钱等罪名。

2024.4.12, ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) รวบสมาชิกแก๊งทุนจีน หลอกคนไทยไปเป็นคอลเซ็นเตอร์ องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พบมี 17 หมายจับติดตัว

ตำรวจสอบสวนกลาง

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) รวบสมาชิกแก๊งทุนจีน หลอกคนไทยไปเป็นคอลเซ็นเตอร์ องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พบมี 17 หมายจับติดตัว
.
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ร่วมกันจับกุม นายจาหลงฯ กระทำความผิดฐาน “สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ จากการบังคับใช้แรงงาน และผู้ที่สมคบกันกระทำความผิดได้ลงมือกระทำตามที่สมคบกัน, โดยร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป หรือโดยสมาชิกขององค์กรอาชญากรรม เป็นธุระจัดหา พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด หน่วงเหนี่ยวกักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งบุคคลใด โดยข่มขู่ใช้กำลังบังคับ ลักพาตัว ฉ้อฉล หลอกลวง ใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้อำนาจครอบงำบุคคลด้วยเหตุที่อยู่ในภาวะอ่อนด้อยทางร่างกาย จิตใจ การศึกษาหรือทางอื่นใดโดยมิชอบ เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ โดยการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ ฯลฯ”
สถานที่จับกุม บริเวณท่าเทียบเรือในพื้นที่ ม.7 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต
.
สืบเนื่องจาก เมื่อปี 2565 ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ได้หาคนไทยให้มาทำงานที่ฝั่งประเทศกัมพูชา โดยหลอกลวงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียประกาศโฆษณาว่าต้องการรับพนักงานทำงานเป็นแอดมิน คอยให้บริการตอบข้อมูลลูกค้าที่ติดต่อมายังบริษัท ค่าตอบแทนประมาณ 20,000-50,000 บาทต่อเดือน มีสวัสดิการ ที่พัก ค่ารักษาพยาบาลและจะดำเนินการเรื่องหนังสือเดินทางให้ทั้งหมด เมื่อมีผู้เสียหายหลงเชื่อก็จะมีรถไปรับ-ส่งที่ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว แต่เมื่อไปถึง กลับนำผู้เสียหายไปส่งไว้ในป่าอ้อยและให้แบกสัมภาระเดินข้ามไปยังฝั่งประเทศกัมพูชา โดยใช้ข้ออ้างต่างๆ หลอกลวงให้ผู้เสียหายยอมเดินทางข้ามไป โดยผู้เสียหายส่วนหนึ่งถูกส่งไปที่ปอยเปต บางส่วนจะถูกส่งไปที่ สีหนุวิลล์ โดยจะถูกยึดโทรศัพท์ ไม่ให้ติดต่อกับญาติ
.
เมื่อไปถึงที่ทำการจะมีหัวหน้าชาวจีนและคนไทยซึ่งเป็นล่ามแปลภาษาจีน บังคับให้ทำงานเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ โดยการโทรศัพท์และแชตไลน์หลอกลวงเหยื่อซึ่งเป็นคนไทย ส่วนคนไทยรายใดหน้าตาดีก็จะถูกบังคับนำไปสู่การล่วงละเมิดหรือค้าประเวณี
.
ผู้เสียหายส่วนหนึ่งเมื่อรู้สึกว่างานที่ทำ ไม่ตรงตามที่กล่าวอ้างไว้ พยายามหาวิธีการที่จะเดินทางกลับหรือไม่เต็มใจทำงาน ขบวนการดังกล่าวจะให้ รปภ.ควบคุมตัวไว้ หรือใช้วิธีการบังคับข่มขู่ ใช้ไฟฟ้าช็อต ให้อดข้าวอดน้ำ ทำร้ายร่างกาย หรือต้องจ่ายเงินค่าปล่อยตัว มิฉะนั้นจะขายต่อให้กับบริษัทอื่น กระทั่งมีผู้เสียหายแอบติดต่อขอความช่วยเหลือมายังทางการไทยได้ ทางการไทยจึงได้ประสานความร่วมมือไปยังตำรวจกัมพูชา สนธิกำลังนำคนไทยที่ถูกหลอกลวงไปกลับมา ซึ่งจากการสอบสวนในคดีนี้ พบว่า ผู้ต้องหาเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำหน้าที่จัดหาคนไทย เพื่อส่งไปทำงานให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยผู้ต้องหารับคำสั่งจากหัวหน้าชาวจีนเป็นผู้มีส่วนร่วมในองค์กร จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับ รวมกว่า 17 หมายจับ
.
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาได้หลบหนีและมาทำธุรกิจเปิดบริษัททัวร์นำเที่ยว ร่วมกันกับเครือญาติ เมื่อพบตัวผู้ต้องหา�เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าแสดงตัวทำการจับกุมตามหมายจับ จากนั้นนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.คลองหาด จ.สระแก้ว เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
.
ผลปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. และ พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป.
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม พ.ต.ท.ศรัณย์ ศรีพักตร์, พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ มีมุสิก สว.กก.5 บก.ป. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป.
.
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)
มืออาชีพ เป็นกลาง เคียงข้างประชาชน

ขบวนการ ‘ไทยหลอกไทย’ แก๊งทุนจีน หลอกคนไทยเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตอบแทน 5หมื่น
13 เม.ย. 2024 เวลา 15:07

เตือนภัย! ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดขบวนการ “ไทยหลอกไทย” รวบแก๊งทุนจีน 17 หมายจับติดตัว หลอกคนไทยเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างให้ค่าตอบแทน 50,000 บาท แถมสวัสดิการเพียบ งานโทรศัพท์ แชตไลน์หลอกลวงเหยื่อ หน้าตาดี ถูกบังคับค้าประเวณี ล่วงละเมิดทางเพศ
เตือนภัย! เปิดขบวนการ “ไทยหลอกไทย” รวบ แก๊งทุนจีน 17 หมายจับติดตัว หลอกคนไทย เป็น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อ้างให้ค่าตอบแทน 50,000 บาท แถมสวัสดิการเพียบ งานโทรศัพท์ แชตไลน์หลอกลวงเหยื่อ หน้าตาดี ถูกบังคับค้าประเวณี ล่วงละเมิดทางเพศ

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ร่วมกันจับกุม นายจาหลงฯ กระทำความผิดฐาน “สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ จากการบังคับใช้แรงงาน และผู้ที่สมคบกันกระทำความผิดได้ลงมือกระทำตามที่สมคบกัน,

โดยร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป หรือโดยสมาชิกขององค์กรอาชญากรรม เป็นธุระจัดหา พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด หน่วงเหนี่ยวกักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งบุคคลใด โดยข่มขู่ใช้กำลังบังคับ ลักพาตัว ฉ้อฉล หลอกลวง ใช้อำนาจโดยมิชอบ

ใช้อำนาจครอบงำบุคคลด้วยเหตุที่อยู่ในภาวะอ่อนด้อยทางร่างกาย จิตใจ การศึกษาหรือทางอื่นใดโดยมิชอบ เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ โดยการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ ฯลฯ”

สถานที่จับกุม บริเวณท่าเทียบเรือในพื้นที่ ม.7 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต

เปิดขบวนการ “ไทยหลอกไทย” แก๊งทุนจีน หลอกคนไทยเป็นคอลเซ็นเตอร์
สืบเนื่องจาก เมื่อปี 2565 ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ได้หาคนไทยให้มาทำงานที่ฝั่งประเทศกัมพูชา โดยหลอกลวงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียประกาศโฆษณาว่าต้องการรับพนักงานทำงานเป็นแอดมิน คอยให้บริการตอบข้อมูลลูกค้าที่ติดต่อมายังบริษัท ค่าตอบแทนประมาณ 20,000-50,000 บาทต่อเดือน

มีสวัสดิการ ที่พัก ค่ารักษาพยาบาลและจะดำเนินการเรื่องหนังสือเดินทางให้ทั้งหมด

เมื่อมีผู้เสียหายหลงเชื่อก็จะมีรถไปรับ-ส่งที่ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว แต่เมื่อไปถึง กลับนำผู้เสียหายไปส่งไว้ในป่าอ้อยและให้แบกสัมภาระเดินข้ามไปยังฝั่งประเทศกัมพูชา

โดยใช้ข้ออ้างต่างๆ หลอกลวงให้ผู้เสียหายยอมเดินทางข้ามไป โดยผู้เสียหายส่วนหนึ่งถูกส่งไปที่ปอยเปต บางส่วนจะถูกส่งไปที่ สีหนุวิลล์ โดยจะถูกยึดโทรศัพท์ ไม่ให้ติดต่อกับญาติ

เมื่อไปถึงที่ทำการจะมีหัวหน้าชาวจีนและคนไทยซึ่งเป็นล่ามแปลภาษาจีน บังคับให้ทำงานเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ โดยการโทรศัพท์และแชตไลน์หลอกลวงเหยื่อซึ่งเป็นคนไทย ส่วนคนไทยรายใดหน้าตาดีก็จะถูกบังคับนำไปสู่การล่วงละเมิดหรือค้าประเวณี

ผู้เสียหายส่วนหนึ่งเมื่อรู้สึกว่างานที่ทำ ไม่ตรงตามที่กล่าวอ้างไว้ พยายามหาวิธีการที่จะเดินทางกลับหรือไม่เต็มใจทำงาน ขบวนการดังกล่าวจะให้ รปภ.ควบคุมตัวไว้ หรือใช้วิธีการบังคับข่มขู่ ใช้ไฟฟ้าช็อต ให้อดข้าวอดน้ำ ทำร้ายร่างกาย หรือต้องจ่ายเงินค่าปล่อยตัว มิฉะนั้นจะขายต่อให้กับบริษัทอื่น

กระทั่งมีผู้เสียหายแอบติดต่อขอความช่วยเหลือมายังทางการไทยได้ ทางการไทยจึงได้ประสานความร่วมมือไปยังตำรวจกัมพูชา สนธิกำลังนำคนไทยที่ถูกหลอกลวงไปกลับมา

ซึ่งจากการสอบสวนในคดีนี้ พบว่า ผู้ต้องหาเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำหน้าที่จัดหาคนไทย เพื่อส่งไปทำงานให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์

โดยผู้ต้องหารับคำสั่งจากหัวหน้าชาวจีนเป็นผู้มีส่วนร่วมในองค์กร จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับ รวมกว่า 17 หมายจับ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาได้หลบหนีและมาทำธุรกิจเปิดบริษัททัวร์นำเที่ยว ร่วมกันกับเครือญาติ เมื่อพบตัวผู้ต้องหาเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าแสดงตัวทำการจับกุมตามหมายจับ จากนั้นนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.คลองหาด จ.สระแก้ว เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

4月13日,泰国中央调查局(CIB)方面透露称,有关部门人员联合之下在普吉府府治县某码头附近逮捕了名叫乍隆的男子,并指控其合谋实施人口贩卖、威胁、恐吓、绑架他人非法谋利等多项罪名。

至于此次行动,是由于自2022年起有电信诈骗团伙寻找泰国人去往邻国柬埔寨工作,自称招聘管理员负责回复顾客信息,薪资约20,000-50,000泰铢/月,包括各项福利、住宿、医疗费用及处理所有护照事宜。一旦有人上钩,便会进一步安排送至柬埔寨波贝和西哈努克,并将手机没收。

抵达办公地点后,会有中国头目和泰国翻译在场,强迫受骗人员向同胞进行电话诈骗,受害者可以支付赎金换取自由,否则会被转卖至下一家公司。

至于对此次案件的调查,泰国警方发现有泰籍籍人士受雇于中国犯罪团伙,专门负责寻找泰国人前去工作,遂积极搜集证据,前后共下发了17份逮捕令。之后,警方发现嫌疑人与亲属在普吉合伙开设了一家旅游公司,在前去将其逮捕后送至沙缴府空哈县警察局采取进一步的法律行动。

2024.3.29,泰国警方捣毁一个位于泰国南部省份洛坤府 (Nakhon Si Thammarat) 从事股票欺诈和虚假酒店预订等活动的诈骗基地。
90 held as Chinese-led scam gang busted in South
Nakhon Si Thammarat a base for operations that included stock fraud and fake hotel bookings
NAKHON SI THAMMARAT: Police have arrested 90 alleged scammers, including 55 Chinese nationals, during raids on eight locations in Chawang district of this southern province.
Police from the Cyber Crime Investigation Bureau (CCIB) and officials from other agencies took part in the raids on Thursday, in which 55 Chinese nationals and 35 Thais were arrested.
The raids took place at a hotel room, three commercial buildings, three houses and a factory in Chawang district, police said at a briefing on Friday.
More than 2,000 items were seized, including 228 computers, 1,037 mobile phones, 521 Sim cards, 80 bank passbooks, some weapons and untaxed goods. All 90 suspects were being held in police custody pending legal action and the investigation was being extended, said police.
The raids followed information that Chinese-led scam gangs had been using Nakhon Si Thammarat as their operational base, said Pol Lt Gen Thatchai Pitaneelabutr, an assistant national police chief, and Pol Lt Gen Worawat Watnakhornbancha, the CCIB commissioner, at the briefing.
The gang employed people to trick victims into investing in bogus stock trading schemes, booking non-existent hotel rooms and transferring money into the scammers’ bank accounts, police said.

泰国洛坤府破获诈骗团伙 90人被捕

泰国特案厅(DSI)和网络犯罪调查局(CCIB)及其他相关机构28日联合对洛坤府的八个地点进行突袭行动,逮捕了90名涉嫌诈骗的人,其中包括55名中国公民和35名泰国公民。

警方在周五的新闻发布会上表示,突袭行动搜查了查旺区的一间酒店房间、三栋商业建筑、三栋房屋和一家工厂。

这次行动的主要焦点是这家酒店,在那里发现了数十名中国人和泰国人为诈骗中心团伙工作。据报道,一些人告诉逮捕他们的警察,他们是从中国被骗来的,被迫为该团伙工作。

除了该酒店外,警方还对位于约3公里外的一栋豪宅和附近的一处店屋进行了单独突击搜查。这座被改造成办公室的房子里发现了20几名中国人,店屋遭到搜查时,还有更多中国人在里面。

当场查获2000多件证物,包括228台电脑、1037部手机、521张SIM卡、80本银行存折、一些武器和走私物品。警方表示,所有90名嫌疑人均被警方拘留,等待采取法律行动,调查范围正在扩大。

泰国国家警察助理局长塔猜(Thatchai Pitaneelabutr)和网络犯罪调查局专员沃拉瓦(Worawat Watnakhornbancha)在新闻发布会上表示,此次突袭行动是在有消息称邻国的诈骗团伙一直利用洛坤府作为其行动基地之后进行的。

泰国警方称,该案始于去年11月的大量投诉,该电诈团伙受到了警方的关注。经调查发现,该团伙雇佣人员诱骗受害者投资加密货币、虚假股票交易计划、在线赌博和在线购物、预订不存在的酒店房间并将资金转入诈骗者的银行账户,总损失估计达1亿泰铢。

据特案厅称,该电诈团伙人员用中文、俄语和泰语与潜在受害者聊天。还发现多名被捕中国公民护照上有经常前往柬埔寨的记录。

被捕的中国人将被指控违反移民法、从事禁止外国人从事的工作以及技术犯罪。

THAI AUTHORITIES SUPPRESS A LARGE CHINESE CALL CENTER GANG

NAKHON SI THAMMARAT – On March 29, Thai officials reported the taking down of a huge Chinese call center gang in Nakhon Si Thammarat province, which had been illegally established to defraud Thais and Chinese citizens. Officers arrested 90 people and seized computers and other devices.

Pol. Lt. Gen. Thatchai Pitanilabutr, assistant police commander, stated at a press conference at Chawang Police Station in Nakhon Si Thammarat Province that since the investigation began at the end of 2023, this operation has been carried out in coordination with 100 officials, including cyber police, DSI officers, detective police, police region 8, immigration police, and NBTC officials. They have been dispatched to seek out four targets in Nakhon Si Thammarat province.

At the time, officials discovered a large network of Chinese people forming a call centre gang in Chawang District to defraud and steal property from fellow Chinese, Japanese, Russians, and Thais through a variety of scams, including inviting them to invest in digital currencies, online gambling, tricking people into buying products by creating pages, and using various tricks to lure victims to transfer money. The officials then conducted a thorough investigation and collected evidence.

Then, on March 28, 2024, officials obtained a search warrant from the Criminal Court and conducted a simultaneous search operation at four locations, discovering both Thai and Chinese citizens working there.

They also confiscated 228 computers, 1,037 mobile phones, 4 iPads, 21 internet routers, 2 CPUs, 2 USB sticks, 521 phone SIM cards, 2 credit cards, 80 bank accounts, one long gun, and tax-evaded cosmetics.

Chinese members of call-center gang were arrested in Nakhon Si Thammarat province on March 28, 2024.

Police Lieutenant General Worawat Wattanakornbancha, Commander-in-Chief of the Royal Thai Police, stated that officers detained all 90 members of this call centre gang. During the investigation, Lin Shuozhao, a 30-year-old Chinese national, stated that he was simply an employee whose job was to wait. The big bosses at the command level are in China.

Many Chinese individuals that have joined this call center gang use passports to enter Thailand through Cambodia. Some travelled directly from China to Thailand disguised as tourists.

Furthermore, there are offers to come and work before joining forces to establish a group that defrauded victims for nearly a year. They planned and worked systematically. Thai employees will receive an average monthly salary of 20,000 baht each person, whereas Chinese personnel would earn an average of 40,000 baht per month.

Officials have accused these individuals of establishing a group to conceal the method of operation and purpose for illicit reasons, as well as conspiring with five or more people to commit an offence or commit theft.

The cyber police are now planning to expand on that by looking into the financial histories and other characteristics of each group of accused people involved in other crimes. Investigators from the Chawang Police Station held all suspects and transported them for prosecution.

2024.3.13,泰警搗毀跨國詐騙集團 涉案50億泰銖 大馬籍首腦落網

(曼谷13日訊)泰國警方破獲了一個詐騙集團,逮捕了包括兩名大馬人在內的九名嫌犯,他們涉嫌誘騙50多名受害者參與投資計劃,造成約8億泰銖(約合1億526萬令吉)的損失。

根據馬新社報道指出,受騙者被誘騙通過一個名為“Nichare”的虛假應用程序進行投資,並通過承諾輕松盈利,來誘惑投資者轉賬投資。

為了誘騙投資者投入大筆金錢,該集團在投資初期會讓投資者提現,而一旦投資者繼續投入更多金錢後,縱然賬面上盈利很高,但想要提現就會被要求支付額外費用,包括擔保費和稅款,以解鎖他們原來的投資。

經濟犯罪打擊司指揮官普提德少將指出,泰國執法人員於上周三在宋卡府的沙道縣地區逮捕該詐騙集團的首腦,被捕嫌犯是一名現年42歲的大馬男子。

“在次日,執法人員在曼谷地區逮捕另一名大馬男子和他的泰國女友(30歲)。”

他說,調查顯示,在曼谷落網的大馬男子在大馬有犯罪前科,他與女友均為一個在泰國、馬來西亞和柬埔寨運作的跨國詐騙集團的成員。

普提德說,估計該詐騙集團所詐騙的金額已超過50億泰銖(約合6億5790萬令吉)。

“根據初步調查結果,目前已知受害者達到50多人,其中大多數是女性,一些受害者一次性轉賬了1000萬(約合131萬令吉)到1500萬泰銖(約合197萬令吉),其中損失最多的一名泰國老婦女,被騙了5000萬泰銖(約合658萬令吉)。”

普提德補充說,這兩名大馬人即將面臨的控罪包括欺詐、電腦犯罪和技術犯罪,可能會被判處最高五年的監禁。

此外,他們可能還會面臨跨國有組織犯罪的指控,該罪名的最高刑期為15年監禁。

調查顯示,該集團的活動範圍橫跨東南亞多個國家,包括柬埔寨、泰國和馬來西亞,以及香港。

據信是該集團主謀的42歲馬來西亞男子經常在馬來西亞、泰國和柬埔寨之間旅行。

此外,調查人員還追查到在香港與該集團有關的IP地址和金融交易有關的證據。

普提德表示,警方已查封了84個銀行賬戶,總計超過2000萬泰銖(約合262萬令吉),以及20個加密貨幣賬戶。

“警方還查獲了33台電腦、65部手機以及一批奢侈品,包括汽車、名牌包和手表等。”

他補充說,法院迄今已經向50多名嫌犯,包括8名大馬人和一名印尼人發出逮捕令。

“我們正在尋求馬來西亞警方的合作,以追捕更多嫌犯。”

Thai police bust scam syndicate, two Malaysians among nine arrested

BANGKOK: Thailand’s police cracked down on a scam syndicate and arrested nine suspects including two Malaysians who allegedly lured more than 50 victims into an investment scheme, causing losses of about 800 million baht (RM 105.26 million).

Commander of Economic Crime Suppression Division, Pol. Maj. Gen. Puttidej Bunkrapue said a 42-year-old Malaysian man, believed to be the mastermind of the syndicate, was arrested in Sadao, Songkhla, on March 6.

Another man – a 26-year-old with a criminal record in Malaysia – along with his 30-year-old Thai girlfriend, were arrested in Bangkok the following day.

He said the arrested Malaysian men and the Thai woman were believed to be part of a transnational syndicate operating across Thailand, Malaysia, and Cambodia.

“The syndicate is estimated to have more than 5 billion baht (RM657.90 million) circulating within its network.

“Initial investigation found the syndicate lured and defrauded more than 50 victims, mostly women. Some of the victims transferred between 10 and 15 million baht at a time.

“A Thai elderly woman suffered the highest loss, at 50 million baht (RM6.58 million),” he told Bernama.

Puttidej added the two Malaysians are facing charges that include fraud, computer crimes, and technology crimes, which could result in prison sentences of up to five years.

Additionally, they may face charges of transnational organised crime, which carries a maximum sentence of up to 15 years in prison, he said.

Investigation revealed the syndicate’s reach across multiple countries in Southeast Asia including Cambodia, Thailand, and Malaysia, as well as Hong Kong.

The 42-year-old Malaysian man, believed to be the mastermind of the syndicate, frequently traveled between Malaysia, Thailand, and Cambodia. Additionally, investigators found IP addresses and financial transactions linked to the syndicate in Hong Kong.

Puttidej said police seized 84 bank accounts containing more than 20 million baht in total as well as 20 crypto accounts.

“Police also seized 33 computers, 65 mobile phones, and a collection of luxury goods, including cars, branded bags, and watches,” he said.

He added that the court issued arrest warrants for more than 50 suspects including eight Malaysians and one Indonesian allegedly involved in the syndicate.

“We are seeking cooperation from Malaysian police to hunt down more suspects,” Puttidej said.

The victims were lured to invest in a fake application called “Nichare”. The app promised easy profits and allowed initial withdrawals to build trust.

However, when victims attempted to withdraw larger amounts later, they were met with roadblocks. The scammers then pressured them to pay additional fees, including guarantee fees and taxes, supposedly to unlock their original investments.

This predatory tactic ultimately led many victims to file complaints.

2024.2.16 泰国移民局 宣布逮捕一名中国嫌疑人并将其遣返回国。今天 (2024 年 2 月 16 日) 移民局召开关新闻发布会,就根据中国当局的引渡请求逮捕一名潜逃至泰国的拥有中国和柬埔寨国籍的中国诈骗犯(男,32岁)一案进行通报。该犯与中国的同伙合作运营一个赌博网站平台诈骗受害人投资总计25亿泰铢。该男子是诈骗团伙的主要成员之一,负责宣传和吸引投资者参与赌博。2023年7月20日,天津市南开警方对该犯及其同伙立案调查。但随后中国当局调查发现,该犯已潜逃出境,并使用柬埔寨护照前往泰国。因此,他们请求泰国当局暂时逮捕该犯,并将其引渡到中国接受审判。泰国警方在收到中国方面的请求后,立即向当地法院申请逮捕令,并在曼谷沙吞区成功将其拘捕。

สตม.รวบหนุ่มแดนมังกรนักเว็บพนันแก๊งZHONGHE หลอกเหยื่อ 2,500 ล้าน หนีเข้าไทย

16 กุมภาพันธ์ 2567 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ , พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม. , พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6 , พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม. , พ.ต.ท.กฤตกรอิชณน์ คงขำ สว.ตม.จว.ปัตตานี ร่วมแถลง กก.1 บก.สส.สตม. จับกุมนายหวง อายุ 32 ปี สัญชาติจีนและกัมพูชา ผู้ต้องหาตามหมายจับระหว่างพิจารณาของศาลอาญา ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชน (ออกหมายจับผู้ร้ายข้ามแดน) นำตัวส่งพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด ดำเนินการตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 มาตรา 16 โดยจับกุมได้ที่แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ร้องขอให้ทางการประเทศไทยจับกุมตัวชั่วคราว นายหวง อายุ 32 ปี สัญชาติจีน เพื่อส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชน อันเป็นความผิดตามมาตรา 266 ของประมวลกฎหมายอาญาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

พฤติการณ์กระทำความผิด คือ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 สำนักงานตำรวจความมั่นคงสาธารณะนครเทียนจิน สาขาหนานไค ได้ยื่นฟ้องและดำเนินการสอบสวนนายหวง และพวก ในข้อหากระทำผิดฐานฉ้อโกง หลังจากที่สอบสวนพบว่า นายหวง สมรู้ร่วมคิดกันกับพวกเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมายโดยใช้แพลตฟอร์มการพนัน “WANHE Football” ของต่างประเทศ จัดตั้งแก๊งฉ้อโกง “ZHONGHE” ในประเทศจีน และใช้การเงินและการลงทุนเป็นข้ออ้างหลอกลวงนักลงทุน และใช้วิธีการอ้างว่า แพลตฟอร์มการพนัน “WANHE Football” เป็นโครงการการลงทุนการแข่งขันกีฬารูปแบบใหม่ ให้นักลงทุนในประเทศจีนเข้าร่วมการพนัน และได้รับผลกำไรโดยวิธี “การเดิมพันตรงกันข้าม”

นายหวง เป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของแก๊งฉ้อโกงมีหน้าที่รับผิดชอบในการประชาสัมพันธ์ต่อสาธารณะและดึงดูดนักลงทุนให้เข้าร่วมการพนัน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ถึงเมษายน 2566 นายหวง ได้ร่วมกับพวกหลอกลวงผู้เสียหายหลายร้อยคน มีมูลค่าความเสียหายร่วม 500 ล้านหยวน หรือประมาณ 2,500 ล้านบาท

ต่อมาจากการรวบรวมพยานหลักฐาน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2566 สำนักงานอัยการประชาชนเขตหนานไค นครเมียนจิน จึงได้อนุมัติหมายจับนายหวง ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชน จากการสืบสวนของทางการสาธารณรัฐประชาชนจีน พบว่า นายหวง ได้หลบหนีคดีเดินทางออกนอกประเทศ และได้ใช้หนังสือเดินทางกัมพูชาเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จึงได้ร้องขอให้ทางการไทยจับกุมตัวชั่วคราว นายหวง เพื่อส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐประชาชนจีน พนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ จึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาออกหมายจับนายหวง และได้ส่งหมายจับมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมีการจับกุมได้ดังกล่าว

2024.1.13 曼谷警方周五表示,他们已从一个主要网络犯罪团伙中查获价值超过 12 亿泰铢的资产。此次行动目标是据信与 30 岁的 Thararat Singhatongsuwan 领导的网络犯罪集团有关的资产,Thararat Singhatongsuwan 于 2017 年被捕,2021年因多起欺诈案件被起诉。

1.2 BILLION BAHT IN ASSETS SEIZED IN CRACKDOWN ON ONLINE FRAUD
January 13, 2024

BANGKOK — Authorities on Friday said they have seized more than 1.2 billion baht worth of assets from a major cybercrime gang.

The operation, which involved the police, the Anti-Money Laundering Office (AMLO), and the Digital Economy and Society Ministry (DES), targeted assets believed to be linked to a cybercrime syndicate led by Thararat Singhatongsuwan, 30, who was arrested in 2021 and prosecuted in multiple fraud cases.

They were involved in various forms of fraud, including operating call center scams, making random phone calls to deceive the public, falsely claiming to be officials and tricking victims into transferring money. They also used fake bank accounts and had financial trails linked to online gambling websites.

Additionally, they engaged in online fraud through Facebook advertisements, enticing individuals to exchange Thai Baht for Chinese Yuan at rates lower than the official exchange rates. When the promised transactions did not occur, many victims were left deceived.

In this operation, the assets, which include 77 cars, 84 land title deeds, Thai and foreign currencies, and various luxury items, were confiscated during raids on 13 locations in Bangkok, Nonthaburi, and Chiang Mai provinces, cybercrime police commander Worawat Watnakhonbancha said.

The assets, which include 77 cars, 84 land title deeds, Thai and foreign currencies, and various luxury items, were confiscated.

AMLO sec-gen Theppasu Bavornchotidara said the gang used several means to dupe the victims, such as phone calls pretending to be authorities and deceiving the victims into transferring money and online posts inviting victims to invest in a foreign exchange Ponzi scheme, after which the money were laundered into real estates and online gambling accounts. In the latter case, he said 54 victims came forward and filed a complaint.

More than 3 billion baht worth of assets were believed to have been laundered by Thararat’s gang, Theppasu said. He advised victims to file a complaint to reclaim their assets within 90 days.

Thararat and her accomplices were arrested in 2021 and prosecuted in multiple fraud cases in Bangkok, Khon Kaen, and Ubon Ratchathani province.

2024.1.13 周六,清迈警方突击搜查了位于清迈湄林区的一处豪华别墅,称该豪宅内的诈骗团伙经营2个每月营业额过亿泰铢的网络赌博网站。
12 people were arrested following a raid on a luxury pool villa in Summit Green Valey in Mae Sa, Mae Rim, this morning, Jan. 13 that was being used to run an online gambling site.
Police seized 16 computers, 33 monitors, five laptops, 53 mobile phones, 28 bank books, 28 debit cards and CCTV server with an estimated value of 1 million baht. The gambling site is said to have a turnover of 100 million baht per month.

13 ม.ค. 2567 13:03 น.
ปอท.ทลายแก๊งเว็บพนัน เช่าพูลวิลล่าหรู กลางเมืองเชียงใหม่ บริการลูกค้า

ตำรวจ ปอท.บุกทลายแก๊งเว็บพนัน เช่าบ้านหรูพูลวิลล่าหรูกลางเมืองเชียงใหม่ เปิดเป็นสำนักงาน เย้ยกฎหมาย รวบ 12 แอดมิน พร้อมของกลางเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมาก เช็กเส้นเงินพบหมุนเวียนในบัญชีกว่า 100 ล้านบาทต่อเดือน

เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 67 พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. สั่งการ พ.ต.อ.ชิษณุพงศ์ ไหวดี ผกก.3 บก.ปอท. พ.ต.ท.ชัยณรงค์ จอมเล็ก พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ พุ่มพวง สว.กก.3 บก.ปอท. และ พ.ต.ต.ปกฉัตร สงวนแวว สว.(สอบสวน) กก.3 บก.ปอท. นำหมายค้นศาลจังหวัดเชียงใหม่ เข้าตรวจค้นบ้านหรูพูลวิลล่า ใน หมู่บ้านซัมมิทกรีนวัลเล่ย์ ม.1 ต.แม่สา อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ หลังสืบทราบว่ามีกลุ่มนายทุนเว็บพนันออนไลน์ มาเช่าใช้เป็นสำนักงาน

ทันทีที่เจ้าหน้าที่ไปถึงพบภายในบ้านถูกดัดแปลงใช้เป็นสำนักงาน แบ่งออกเป็น 2 ห้อง ห้องแรกพบพนักงานแอดมินเว็บไซต์พนัน hengclub.win จำนวน 6 คน กำลังตอบแชตลูกค้าหรือผู้เล่นพนันออนไลน์ ส่วนอีกห้อง พบพนักงานแอดมินเว็บไซต์พนัน kapaotang.com จำนวน 6 คน กำลังนั่งตอบแชตลูกค้าเช่นเดียวกัน จึงแสดงตัวเข้าจับกุมพนักงานทั้งหมด พร้อมกับตรวจยึด คอมพิวเตอร์ภายในบ้าน 16 เครื่อง จอคอมพิวเตอร์จำนวน 33 จอ โน้ตบุ๊ก 5 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 53 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร 28 เล่ม บัตรเอทีเอ็ม 28 ใบ และ เซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิด 1 เครื่อง รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ไว้เป็นหลักฐาน

สอบสวนทั้งหมดให้การรับสารภาพว่าเป็นเพียงพนักงานแอดมินเว็บไซต์พนันทั้ง 2 เว็บ ทำหน้าที่คอยให้บริการลูกค้า เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์โดยไม่รับอนุญาต” ก่อนนำตัวส่ง สภ.แม่ริม ดำเนินคดีตามกฎหมาย

รายงานข่าวแจ้งว่าจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินเว็บพนันทั้ง 2 เว็บไซต์ดังกล่าว พบเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 100 ล้านบาทต่อเดือน ขณะนี้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมอยู่ระหว่างขยายผลเอาผิดกลุ่มนายทุนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องรายอื่นๆ ต่อไป

评论

发表回复

您的邮箱地址不会被公开。 必填项已用 * 标注

More posts